• Green destination เที่ยวอำเภอกัลยาณิวัฒนา

    อำเภอกัลยาณิวัฒนา อีกหนึ่งอำเภอน่าเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่  ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงรายล้อม ด้วยป่าสน บรรยากาศสงบอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี  ทำให้กลายเป็นเส้นทางในฝันน่าเที่ยวที่หลากหลายไปด้วยเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรมชนเผ่าแบบดั้งเดิม อำเภอกัลยาณิวัฒนา มี 3 ตำบล ได้แก่ บ้านจันทร์ แม่แดด และแจ่มหลวง มีตำบลละ 7 หมู่บ้าน รวม 21 หมู่บ้าน  เดิมชื่อ  “อำเภอวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ” ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่ออำเภอว่า “อำเภอกัลยาณิวัฒนา” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเคยทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจในพื้นที่ตำบลบ้านจันทร์ เมื่อเดินทางเข้าสู่ตัวอ.กัลยาณิวัฒนา เราจะพบเห็นป่าสนที่เรียงรายไปตลอดเส้นทางกินพื้นที่กว้างใหญ่ จนได้รับสมญานามว่า เป็นดินแดนแห่งป่าสนผืนใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ในช่วงหน้าหนาวป่าสนจะผลัดใบเปลี่ยนสีจนกลายเป็นหุบเขาหลากสีสรรชวนมองกลายเป็นเอกลักษณ์ของที่โดดเด่นของที่นี่ โดยเฉพาะที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์  สถานที่โรแมนติกชวนฝันในฤดูหนาวที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวหลังไหลมาเพื่อชื่นชมบรรยากาศนี้  แล้วถ้ามาในช่วงฤดูฝนอำเภอนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แตกต่างจากช่วงหนาวมากมั้ย รีวิวนี้มีคำตอบ

     

    cover

     

    เริ่มต้นการเดินทางสู่อำเภอกัลยาณิวัฒนา  ที่แห่งนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง 

    สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของอำเภอกัลยาณวัฒนา ได้แก่  โครงการหลวงป่าสนวัดจันทร์  วัดจันทร์ จุดชมวิวพระธาตุ บ้านห้วยฮ่อม  อ่างเก็บน้ำห้วยอ้อ  ศูนย์ศิลปาชีพบ้านวัดจันทร์  อำเภอนี้สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง แต่เส้นทางที่ได้รับความนิยมคือ เส้นทางเดียวกับเส้นทางไปปายนั่นหมายความว่าเราต้องผ่านเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวกว่าพันโค้ง  กับการเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง จากตัวเมืองเชียงใหม่  ใครที่เคยผ่านมายังเส้นทางนี้อาจไม่ต้องอธิบายว่านั่งรถแอบโหดขนาดไหน  เมื่อมาถึงทางแยกไปบ้านวัดจันทร์ยังต้องเจอโค้งและทางสูงชันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอีกประมาณกว่า 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ซึ่งเป็นที่พักและจุดหมายปลายทางของเรา  หากไม่มีรถส่วนตัวก็มีรถโดยสาร สามารถนั่งรถประจำทาง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ และต่อรถสองแถวสีเหลืองสายเชียงใหม่ สะเมิง วัดจันทร์ สามารถขึ้น รถสองแถวได้ที่ บขส. (ช้างเผือก) ราคาคนละ 150 บาท ถ้าให้ไปส่งที่ ออป. เลยเพิ่มอีกคนละ 40 บาทใช้เวลาเดินทางขึ้นไป ประมาณ 6 ชม.
    – จากขนส่งอาเขต – อำเภอ ปาย (รถบัส)รถเริ่มออกเวลา 07.00, 9.00, 10.30, 12.30, 14.30, 16.00 น.ค่าโดยสาร โทรสอบถามได้ที่ บ.เปรมประชา 053-304748 ต่อรถสองแถวที่ตลาดแสงทองอำเภอปาย รอผู้โดยสารขึ้นไปบ้านวัดจันทร์ มีวันละ 1 เที่ยว ออกเวลา 13.00 น ใช้เวลาสั้นกว่าเส้นทางแรก

    แต่ระยะทางอันไกลนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร สำหรับนักเดินทางผู้โหยหาธรรมชาติเพราะสิ่งสวยงามกำลังรอเราอยู่อดทนและท่องไว้ว่า ไกลแค่ไหนคือ ใกล้

    แวะต้มไข่ ที่บ่อน้ำพุร้อนเหมืองแร่

    เมื่อเรามาเดินทางมาถึงทางแยกบ้านวัดจันทร์ตรงไปอีกประมาณ 14 กิโลคือปาย  และเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นเส้นทางไปบ้านวัดจันทร์  ระหว่างทางเราจะพบกับจุดท่องเที่ยวแรกนั้นก็คือ  บ่อน้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่ บ่อน้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่ เป็นบ่อน้ำพุร้อนนี้ถือว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอปาย แต่ห่างจากปายมากและมาตั้งอยู่ในเส้นทางที่จะเดินทางไปบ้านวัดจันทร์   บ่อน้ำพุร้อนอยู่ริมถนนสังเกตได้ชัดเจน เพราะจะมีไอของน้ำร้อนพวยพุ่งกระจายไปทั่ว เป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดเล็กที่เกิดขึ้นเองธรรรมชาติแต่ไม่สามารถลงแช่น้ำได้  ซึ่งด้านหลังมีกระท่อมเป็นเพลิงเล็กๆ สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว มีอาหารเป็นอาหารเล็กน้อย อย่างส้มตำ ไข่ต้ม  มาม่า ขนมขบเคี้ยว กาแฟ ให้บริการ  มีตะกร้าใส่ไข่สำหรับคนที่สนใจลองต้มไข่ในน้ำแร่

     

    1 DEW_1313

    2 DEW_1316

    3 DEW_1307

     

    สูดโอโซน เดินเล่นล้อทิวสน  โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์

    ปกติหากนึกถึงโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ หรือบางคนจะเรียกว่าสั้นๆว่า  ป่าสนวัดจันนทร์ เรามักจะนึกถึงบรรยากาศของป่าสนผลัดใบในฤดูหนาวและไอหมอกลอยเหนืออ่างเก็บน้ำในยามเช้า เราอาจจะคิดว่าเหมาะสำหรับไปเที่ยวแค่ในช่วงหน้าหนาวเพราะบรรยากาศอาจจะใช่กว่า แต่แท้จริงแล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู ถึงแม้ฤดูอื่นจะไม่หนาวจัดเท่าหน้าหนาวก็ตาม แต่อากาศเย็นสบายตลอดปี  และหากมาเที่ยวในฤดูฝนจะได้พบกับอีกหนึ่งบรรยากาศที่เขียวขจีและสดชื่นในแบบฉบับของการท่องเที่ยวช่วงกรีนซีซั่นซึ่งสวยงามไม่แพ้กัน   เรามาถึงเกือบ 4 โมงเย็น  ซึ่งคืนนี้จะพักค้างคืนกันที่นี่

     

    4 DSC_5063

     

    ติดต่อเช็คอิน ณ ที่ทำการของโครงการ แม้แต่ที่ทำการก็ยังน่าอยู่ซะขนาดนี้

     

    5 DEW_1737

    6 DEW_1491

     

    มาเที่ยวช่วงฝนที่เรียกกันว่าช่วงโลวซีซั่นบรรยากาศเงียบสงบแตกต่างกับฤดูหนาว ทุกพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ ช่างเป็นสวรรค์ของพวกเราโดยแท้

     

    7 DEW_1495

    10 DSC_5070

    11 DSC_5081

     

    บ้านพักของโครงการหลวงฯ มีให้เลือกหลายแบบ รายละเอียดของบ้านพักดูได้ที่ http://www.fio.co.th/travel/watchan/   สำหรับบ้านพักที่ได้รับความนิยมและขึ้นชื่อว่าวิวดีและอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำและทิวสนมากที่สุดก็คงเป็นบ้านสนเขา ซึ่งมีทั้งหมด 7 หลัง  ลักษณะของบ้านเป็นบ้านแบบกระท่อมไม้เล็กๆ อาจไม่ได้ดูหรูหราอะไร แต่ก็ได้ความรู้สึกของความเป็นคันทรี่แบบมีระดับที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศ  ทราบมาว่าช่วงหน้าหนาวบ้านพักถูกจองเต็มเกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะบ้านสนเขาไม่ต้องพูดถึง แต่เนื่องจากเรามาใช่ช่วงโลว์ซีซั่น ทุกอย่างก็ดูง่ายไปหมด ไปจองหน้างานก็มีที่พักว่าง แถมราคาลดลงไปด้วย  ปกติบ้านสนเขาแบบ 2 คน หน้าไฮหลังละ 800 บาท แต่ช่วงโลว์เหลือ 600 บาท เท่านั้น

     

    12 DSC_5083

    13 DEW_1326

     

    เดินเล่นชมบรรยากาศภายในโครงการชมวิวต้นสนที่เรียงรายตลอดสองข้างทาง  พื้นดินรอบด้านที่เคยเป็นสีน้ำตาลในเวลานี้กลายเป็นหญ้าสีเขียวขจี แซมด้วยสีเขียวของมอสและตะไคร่ที่ขึ้นแซมไปตามพื้นคอนกรีต นี่แหละคือความสวยงามของการท่องเที่ยวในฤดูฝน

     

    14 DSC_5018

     

    ป้ายบอกทางไปอ่างเก็บน้ำแต่เรายังไม่ไปในช่วงเวลานี้เพราะตั้งใจจะไปในตอนเช้าของอีกวัน เราเลี้ยวไปตามทางของบ้านฉางข้าว ซึ่งในเส้นทางนี้ก็รายล้อมไปด้วยต้นสนเช่นกัน

     

    15 DSC_5023

    16 DSC_5025

    17 DSC_5034

     

    เดินไปอีกนิดจะเป็นพื้นที่ทดลองปลูกข้าว มาในช่วงกลางเดือนกันยายนถือว่ากำลังพอเหมาะพอดี นาข้าวเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง ส่วนปลายเดือนตุลาคมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง

     

    18 DSC_5044

    21 DEW_1367

    19 DEW_1372

    20 DEW_1368

     

    สามารถลงไปเดินเล่นในท้องนาและหามุมถ่ายภาพสวยๆ ได้ตามความพึงพอใจ

     

    20 DEW_1352

    21 DEW_1350

     

    เมื่อเดินไปจนสุดปลายทางก็จะมีสะพานข้ามไปยังอีกฝั่ง หยุดพักหายใจชมวิวกันซักหน่อย

     

    24 DEW_1371

    25 DEW_1377

     

    ฝั่งตรงข้ามจะเป็นดงของต้นเมเบิ้ล ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในช่วงฤดูหนาว เพราะใบเมเบิ้ลจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ส้ม  เหลือง สลับกัน  แต่ถ้ามาในช่วงฤดูฝนก็จะเขียวขจีมองดูแล้วก็สวยงามอีกแบบ

     

    26 DEW_1359

    27 DEW_1362

     

    ตื่นเช้ามากับอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิต นั่นก็คือ ปั่นจักรยานชมวิว สูดอากาศบริสุทธิ์  ไปตามเส้นทางทิวสนรอบโครงการ ฯ มีจักรยานให้เช่าคันละ 100 บาท ต่อวัน

     

    29 DEW_1429

    30 DEW_1452

     

    บรรยากาศบริเวณอ่างเก็บน้ำในยามเช้า ถึงแม้จะไม่มีไอหมอกลอยเหนือน้ำเช่นฤดูหนาว แต่ก็มีสายหมอกลอยคลอเคลียผ่านทุ่งนามาเป็นระยะ

     

    31 DEW_1400

    32 DEW_1398

    30 DEW_1423

     

    เก็บเรื่องราวสีเขียวของป่าสนไว้ในความทรงจำในฤดูแห่งสีเขียว  อีกหนึ่งฤดูแห่งความสดชื่นที่แสนประทับใจ

     

    34 DEW_1471

    35 DEW_1483

     

    เที่ยวนาข้าวขั้นบันได ชมวิถีชีวิตขาวเขา ที่บ้านห้วยฮ่อม 

    หลังจากเดินเล่นชมวิวป่าสนที่โครงการหลวงแล้ว เวลา 09.00 น. คือ เวลานัดหมายที่คุณฤทธิศักดิ์ หรือพี่เช ประธานกลุ่มการท่องเที่ยวโดยชุมชนเหล่อชอ จะมารับเราที่โครงการหลวง เพื่อนั่งรถกระบะต่อไปยังบ้านห้วยฮ่อม หมู่บ้านชาวเขาซึ่งตั้งอยู่ในเขตบ้านจันทร์ โดยจะทำหน้าที่เป็นไกด์นำทาง จากโครงการหลวงใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 30 นาที  เส้นทางเข้าสู่บ้านห้วยฮ่อม ในช่วงฤดูฝนแฉะพอสมควร รถตู้หรือรถเก๋งไม่เหมาะที่จะขับขึ้นมา

     

    36 DEW_1499

    37 DEW_1505

    38 DEW_1521

     

    บ้านห้วยฮ่อม เป็นเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนเหล่อชอ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของ 3 หมู่บ้าน คือ  บ้านห้วยฮ่อม บ้านดอยตุง และบ้านห้วยครก ต. บ้านจันทร์  ซึ่งชาวเขาส่วนใหญ่เป็นชาวปกากะญอที่เข้ามาอาศัยและตั้งถิ่นฐานจนกลายเป็นหมู่บ้าน  มีเรื่องราวของชุมชนที่อยู่คู่กับธรรมชาติและยังคงใช้วีถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่มาก ทั้งวัฒนธรรมการแต่งกาย ความเป็นอยู่ อาหารการกิน ประเพณีและความเชื่อแบบโบราณคือการนับถือผี บูชาธรรมชาติ โดยเปิดให้เป็นการท่องเที่ยวชุมชนเปิดให้บุคคลที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้และสัมผัสวิถีชุมชน พักโฮมสเตย์และทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน  สำหรับการท่องเที่ยงชุมชนบ้านห้วยฮ่อมจะคิดราคาตามนี้

    ค่ารถกระบะนำเที่ยว   1000 บาท  นั่งได้ 10 คน  (เนื่องจากเส้นทางบางช่วงเมื่อเข้าสู่บ้านห้วยฮ่อม รถตู้หรือรถเก๋งไม่สามารถเข้าได้)
    ค่าอาหารกลางวัน   70 บาท/คน
    ค่าผู้นำเที่ยว  300 บาท

    ค่าอาหารว่างเมตอซู  300 บาท

    ค่าประสานงาน  200 บาท

    ค่าชมการทอผ้าของชุมชน 300 บาท
    ค่าผู้นำเที่ยวชุมชน 300 บาท/วัน/กลุ่มไม่เกิน 10 คน

    โดยสามารถติดต่อได้ที่ พี่เช โทร  080-859-2978

     

    39 DEW_1509

     

    บ้านห้วยฮ่อมยังเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติโดยเฉพาะนาข้าวที่กระจายอยู่รอบหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านจะเริ่มทำนากันในช่วงเดือนส.ค. และข้าวก็จะเริ่มเขียวขจีเต็มท้องทุ่งประมาณเดือนกันยายน และกลายเป็นสีทองในช่วงกลางปลายเดือนตุลาคม

     

    40 DEW_1511

    41 DEW_1515

     

    บ้านเรือนของชาวเขาในหมู่บ้านห้วยฮ่อม  ยังคงเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงแบบนี้เกือบทุกบ้าน

     

    42 DEW_1523

     

    พี่เชพาพวกเรามาที่ วัดห้วยฮ่อม วัดเพียงแห่งเดียวซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน  ชาวบ้านที่นี่นับถือ 2 ศาสนา คือ พุทธ และคริสต์  แต่ทั้งสองศาสนายังกลมกลืนและมีความสามัคคีเข้าใจกัน เวลามีงานบุญศาสนาคริสต์ก็จะมาช่วย และอย่างมีงานคริสต์มาสศาสนาพุทธก็มาร่วมด้วยเช่นกัน

     

    44 DEW_1532

    43 DEW_1530

     

    จากนั้นก็นำทางเราไปต่อยังจุดไฮไลต์นั่นก็คือ นาข้าวของหมู่บ้าน  ก่อนจะถึงนาข้าว พี่เชชี้ให้เราดูดงต้นไผ่ พร้อมอธิบายว่า ต้นไผ่ถือว่าเป็นพืชที่สำคัญของหมู่บ้านที่ชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งวงจรชีวิต ตั้งแต่เมื่อต้นไผ่เริ่มโตก็ขุดเอาหน่อไม้มากิน  ลำต้นไผ่ก็มาทำที่อยู่อาศัย รวมถึงเป็นไม้ปักทางการเกษตร เป็นภาชนะ หรือใช้ในงานหรือพิธีกรรมต่างๆ  รวมถึงหนอนในไม้ไผ่ก็สามารถนำมากินได้

     

    45 DEW_1534

    46 DEW_1536

     

    จากจุดจอดรถเดินมาประมาณ 200 เมตร มาถึงพื้นที่ปลูกข้าวของชาวบ้านห้วยฮ่อม  ลักษณะของพื้นที่นาข้าวตั้งอยู่รายล้อมกลางหุบเขาปลูกลดหลั่นกันไป  แต่ไม่ถึงก็เป็นขั้นบันไดมากเหมือนแม่แจ่มหรือแม่กลางหลวง

     

    47 DEW_1558

    49 DEW_1568

    49 DEW_1576

     

    เส้นทางการเดินชมนาข้าวระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร  เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเป็นลักษณะวงกลม  ระหว่างทางนอกจากจะได้เห็นไร่นาแล้ว ยังได้เห็นแปลงพืชไร่ชนิดอื่นที่ชาวบ้านได้ปลูกไว้ด้วย

     

    51 DEW_1573

    48 DEW_1561

    50 DEW_1572

     

    อุปกรณ์ไม้ไผ่ที่หมือนกรงนกอยู่ตรงทุ่งนานี้ทำไว้ เพื่อ บวงสรวงผีซึ่งเชื่อว่านาแต่ละแปลงมีผีที่ดูแลผืนนานั้นอยู่  วิธีการบวงสรวงคือ นำเลือดไก่มาเซ่นไหว้โดยป้ายเลือดไว้ที่ไม้ จากนั้นนำขนไก่มาปักไว้

     

    53 DEW_1581

     

    นาข้าวของชาวบ้านก็ไม่ได้ปลูกไว้ขายแต่อย่างใด แต่ปลูกไว้เพื่อใช้บริโภคกันในครัวเรือน และใช้วิถีการปลูกตามแบบธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากเศษใบไม้ มูลสัตว์ น้ำที่ใช้ทำนาก็ใช้น้ำจากภูเขาและลำธาร เรียกได้ว่าวิถีชีวิตยังเป็นอะไรที่อยู่กันแบบชาวบ้านจริงๆ ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่า พืชผักที่นำมาใช้รับประทานก็ปลูกเอง ยึดอาชีพเกษตรทำไร่ ทำนาเป็นหลัก แปลงผักบางแปลงก็ปลูกและส่งให้กับโครงการหลวง

     

    54 DEW_1589

    55 DEW_1594

     

    เส้นทางเดินชมทุ่งนาบางช่วงก็รกไปด้วยหญ้าและวัชพืชต่างๆ  เราเดินมาเรื่อยจนถึงจุดไฮไลต์ในการชมวิวทุ่งนาที่สามารถมองเห็นได้จากมุมสูง  แต่ปัญหาคือ เราได้แค่ยืนชมจากรั้วลวดหนามซึ่งมีการมากั้นไว้ป้องกันไม่ให้วัวเข้าไปทำลายนาข้าว

     

    56 DEW_1598

    57 DEW_1620

    57 DEW_1621

     

    แต่เพื่อให้ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราก็ลงทุนปีนรั้วแล้วขึ้นไปยืนบนตอไม้ซึ่งมีอยู่หนึ่งตอ ที่พอจะเก็บภาพในมุมสูงได้

     

    59 DEW_1606

    60 DEW_1609

     

    นาข้าวอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน  ที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นคือ  ไร่ถั่วแดงซึ่งชาวบ้านกำลังช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็ง

     

    61 DEW_1622

     

    สังเกตว่าตลอดที่เราเดินผ่านนาข้าว จะมีกระท่อมปลายนาอยู่หลายหลังเพราะพื้นที่นาของชาวบ้านจะมารวมอยู่ด้วยกันในจุดนี้โดยแบ่งสันปันส่วนกันไป  ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นที่พักพิงหลังจากการทำไร่ทำนาแล้ว ยังใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีที่ดูแลพื้นที่นาของตัวเองอีกด้วย

     

    62 DEW_1630

     

    เดินชมท้องนาได้เหงื่อมานิดหน่อยก็มาถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันยังบ้านพักโฮมสเตย์ที่พี่เชได้จัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้เรารับประทานเรียบร้อยแล้ว  หากใครอยากพักค้างคืนอยู่ร่วมกับชาวบ้าน ที่นี่ก็มีทีพักอยู่ประมาณ 4 หลัง

     

    63 DEW_1653

    64 DEW_1644

     

    นั่งล้อมวง ปูเสื่อ รับประทานอาหารกลางวันมีกับข้าวประมาณ 3 อย่าง เป็นเมนูง่าย ๆ น้ำพริก ไข่เจียว ต้มจืดไก่กับแตงกว่า รสชาติอร่อยเลยทีเดียว

     

    65 DEW_1643

    66 DEW_1633

     

    หลังจากทานอาหารคราวเสร็จก็ตบท้ายด้วยของว่าง เป็นอาหารเฉพาะของชนเผ่า ซึ่งมีชื่อว่า เมตอซู  วิธีการทำ คือ นำข้าวเหนียวแช่น้ำไว้ 1 คืน จากนั้นใส่น้ำตาลใส่ในฝักดอกกล้วยไม้ที่หาได้ตามหมู่บ้าน  จากนั้นนำไปนึ่งรสชาติก็คล้ายกับข้าวหลามแต่จะมีกลิ่นหอมของกล้วยไม้ติดมาด้วย

     

    67 DEW_1638

     

    กิจกรรมต่อไป คือ การเรียนรู้เรื่องการทอผ้า ตั้งแต่ขั้นตอนการปั่นด้าย การทอ และการปักผ้าด้วยลูกเดือย การทอผ้ายังเป็นการทอแบบโบราณใช้กี่เอว หากเรานั่งรถผ่านและมองไปตามแต่ละบ้าน เราจะเห็นว่าแทบทุกบ้านมีอุปกรณ์ทอผ้าวางอยู่  ซึ่งการทอผ้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ยาจนมาถึงลูกหลานผ้าที่ทอก็นำมาใช้ใส่กันเองในครัวเรือน

     

    68 DEW_1662

    70 DEW_1673

    69 DEW_1683

     

    วิหารแว่นตาดำ วัดจันทร์

    วัดจันทร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่อำเภอ อีกวัดหนึ่งมีวิหารที่แปลกจากวิหารทั่วไป เรียกว่า วิหารแว่นตาดำ หรือวิหารเรย์แบรนด์   เนื่องจากลักษณะของวิหารเมื่อมองจากด้านหน้าแล้วคล้ายกับกำลังสวมแว่นตาดำ วิหารนี้ช่างชาวปกากะญอได้เอากระจกกรองแสงสีดำมาติดตรงช่องลมด้านหน้าวิหาร เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วนี้เอง ด้วยเหตุเพื่อป้องกันโจรที่เข้ามาลอบขโมยพระประธาน ซึ่งเป็นพระสิงห์สาม อายุกว่า 300 ปี

     

    DSC_2376

     

    จุดชมวิวพระธาตุ ชมวิวอำเภอกัลยาณิวัฒนา

    หากเดินทางมาถึงอำเภอกัลยาณิวัฒนา  ไม่ควรพลาดมาชมวิวในมุมสูงที่สามารถมองเห็นวิวของอำเภอนี้ได้แบบกว้างไกล  ที่จุดชมวิวพระธาตุ บ้านวัดจันทร์  ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดจันทร์ ไม่ไกลจากโครงการหลวงมากนัก  เส้นทางขึ้นไปยังจุดชมวิวต้องใช้รถกระบะขึ้นไปเท่านั้นคะ เพราะเป็นเส้นทางดินแดนแคบและชันนิดหน่อย ขึ้นไปประมาณ 1 กิโล เราก็จะได้เห็นเจดีย์สีขาว ซึ่งพี่เชเรียกว่า โคว่โพหลู่ แปลว่า เจดีย์น้อย

     

    72 DEW_1735

     

    เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นภาพบ้านเรือนของชาวบ้านที่แทรกตัวตามต้นไม้ใหญ่ที่เขียวขจี  ในช่วงฤดูทำนาเราก็จะได้เห็นนาข้าวเขียวขจีมองแล้วสบายตาและสดชื่น

     

    73 DEW_1728

     

    จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นวัดจันทร์ ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า

     

    74 DEW_1723

    75 DEW_1721

     

    ต้นสนที่ยังมีให้เห็นและปกคลุมตลอดทั่วทุกพื้นที่ สมกับเมืองแห่งป่าสน

     

    76 DEW_1714

     

    ขณะที่เรายืนชมวิวก็มีฝนโปรยลงมาตลอด แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยวของเรา เงยหน้าท้าฝนต้อนรับด้วยความเต็มใจ  อย่ากลัวฝนเพราะฝนนั่นเย็นฉ่ำ

     

    77 DEW_1719

     

    อำเภอกัลยาณิวัฒนา  เหมาะสำหรับคนที่ถวิลหาความสงบและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศแบบสบาย  ถึงแม้ต้องเหนื่อยกับการนั่งรถที่นานแสนนานเป็นพันโค้ง แต่เมื่อมีจุดหมายปลายทางที่แสนคุ้มค่ารออยู่ ก็น่าจะลองมากันซักครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือ เราสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้อีกหนึ่งฤดู คือ ฤดูฝนซึ่งมีอะไรน่าสนใจและ สวยงามไม่แพ้ฤดูหนาวเลยทีเดียว

    รีวิวนี้เดินทางวันที่ 12-13 ก.ย. 58

     

     

    Tags : , , , , , ,

  • บทความที่เกี่ยวข้อง

  • บทความล่าสุด

    บทความแนะนำ

    รีวิวคาเฟ่และร้านอาหาร