เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์  10 วัน EP 1 เริ่มต้นเที่ยวสวิส ที่เมือง Interlaken ตามรอยสหายผู้กอง

เชื่อว่าหลายคนคงอยากไปเที่ยวประเทศในฝันสักครั้ง สำหรับเรา สวิสเซอร์แลนด์ คือ ความฝันและความทรงจำตั้งแต่เด็ก จากการที่ได้เห็นภาพในละครหลายเรื่อง คิดว่าสักวันหนึ่งถ้ามีโอกาสจะต้องไปให้ได้  เมื่อโอกาสมาถึงเริ่มเที่ยวสวิสในแบบฉบับมือใหม่  มีประสบการณ์แค่เที่ยวในเมืองไทยที่พอจะเอามาปรับใช้ แต่อยากมาบอกเล่าเรื่องราวของการการเที่ยวสวิสในแบบฉบับของเรา ที่คิดว่าพอจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวด้วยตัวเอง สวิสเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายมาก ไม่ต้องเก่งภาษา ไม่ต้องมีประสบการณ์เที่ยวต่างประเทศก็ไปได้  การเดินทางทุกอย่างเข้าถึงได้สะดวกสบายทั้งเมือง ที่สำคัญคนสวิสส่วนใหญ่อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และ welcome นักท่องเที่ยวมาก  มาเริ่มกันที่ EP แรก เที่ยว Interlaken แวะเมือง isetwald ตามรอยซีรีย์ดัง clash landing on you

 

 

สำหรับการมาเที่ยวสวิส ได้เขียนรายละเอียดเบื้องต้น ตั้งแต่เริ่มขอวีซ่า การเดินทาง สิ่งที่ควรรู้ ค่าใช้จ่าย การใช้งาน app sbb  สามารถคลิ๊กไปอ่านกันได้เลย คลิ๊ก เที่ยวสวิสด้วยตัวเองครั้งแรก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

 

 

วันแรก

เริ่มการเดินทางเรานั่งเครื่องบินของการบินไทยออกจากกรุงเทพ ตี 1 ครึ่ง มาถึงสนามบินซูริค ซึ่งเป็นสนามบินหลักของสวิส ประมาณ 7.30 น. เป็นเวลาเช้าของสวิส  เวลาที่สวิสจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 5 ชั่วโมง หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือ ต.ม. ก็รับกระเป๋าแล้วไปที่สถานีรถไฟ ทริปนี้เดินทางโดยรถไฟเป็นหลักใช้ swiss pass คือ ตั๋วโดยสารที่สามารถใช้เดินทางทั่วสวิส ทั้งรถไฟ รถบัส รถเทรม และเรือ ซื้อล่วงหน้ามาจากไทย ทุกคนสามารถไปอ่านข้อมูลทุกอย่างที่แปะไว้ข้างบนค่ะ อ้อ ต.ม. สวิส น่ารักมาก ไม่ได้น่ากลัวอะไร เขาถามเราแค่ว่า มาทำอะไร อยู่กี่วัน มากันกี่คน ตอบไปตามจริง ถ้ากังวลก็ปรินท์เพลนท่องเที่ยวติดตัวไว้ด้วยยื่นตอนถามก็ได้ค่ะ  คนสวิสเฟรนด์ลี่มาก welcome นักท่องเที่ยว ยิ้มเก่ง มีอะไรช่วยเหลือ นี่คือ สิ่งที่เราประทับใจอีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวครั้งนี้ 

 

สถานีรถไฟตั้งอยู่ในสนามบิน หลังจากรับกระเป๋า เดินลงบันไดเลื่อนมาชั้นล่าง จะเห็นรางรถไฟ นั่นแหละคือ สถานีรถไฟ แต่ดูชานชาลาให้ถูกว่าต้องขึ้นฝั่งไหน ได้แนะนำการใช้งาน App SBB แอพที่ใช้ดูตารางการเดินทางของสวิสทั้งหมด ตามลิงค์ที่แปะไว้เช่นกัน  เรานั่งรถไฟจากสนามบินโดยขึ้นรอบเช้าประมาณ 9 โมงกว่า จุดหมายปลายทางของเรา คือ เมือง Intelaken ซึ่งเป็นที่พักโดยพักที่เมืองนี้ประมาณ 5 คืน  เพราะค่อนข้างที่จะสะดวกในการเดินทางไปเที่ยวยังจุดต่างๆ ได้ง่ายกว่าพักเมืองอื่น ส่วนอีก 4 คืน พักเมืองซูริค ระหว่างนั่งรถไฟเห็นวิวสวยตลอดสองข้างทาง มาครั้งแรกว้าวมาก ตะลึงสุดๆ ขนาดวิวที่มองจากรถไฟยังสวยขนาดนี้ กดชัตเตอร์รัวไม่หยุด และพูดคำว่าสวยได้เปลืองมาก สวยเหมือนภาพวาดจริงๆ

 

 

จากสนามบินซูริค ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า นั่งมองวิวแบบเพลินๆก็มาถึงสถานี Intelaken west  เมือง Intelaken  มีสองสถานี คือ  Intelaken  west  และ Intelaken ost ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเดินถึงกันได้ นักท่องเที่ยวที่แบคแพคเที่ยวเองส่วนใหญ่จะมาพักที่ Intelaken เพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของสวิสเซอร์แลนด์ เดินทางไปเที่ยวยังสถานที่หรือเมืองอื่นๆได้ค่อนข้างสะดวก สำหรับคนที่ไม่อยากเปลี่ยนที่พักบ่อยๆ แนะนำพักที่นี่ยาวไปเลย  มาถึงแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ Intelaken west เพราะจะมาถึงประมาณไม่เกินเที่ยง ที่พักจะให้เช็คอินประมาณบ่ายสาม และที่พักส่วนใหญ่ไม่สามารถฝากกระเป๋าได้ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ มาฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ แล้วหานู้นนี่ทำเพื่อรอเวลาเช็คอิน จะมีห้องประชาสัมพันธ์ที่รับฝากกระเป๋าอยู่ตรงสถานีเลยค่ะ ราคาใบละ 7 ฟรังก์ต่อ 1 วัน ฝากตรงนี้สะดวกในเรื่องของขนาด แต่ต้องมารับกระเป๋าก่อน 18.30 น. หรือจะฝากในล๊อคเกอร์ของสถานีก็ได้ ราคาวันละ 5 ฟรังก์ ถูกกว่าและฝากได้ตลอด 24 ชม จะมาเอากระเป๋าตอนไหนก็ได้เพราะมีกุญแจอยู่กับตัว แต่จะมีข้อจำกัด ถ้ากระเป๋าใบใหญ่จะหาล๊อคเกอร์ยากเพราะเต็มเร็ว 

 

 

ห้องฝากกระเป๋า จ่ายเงิน รับบัตร แล้วไปได้เลย ไม่ต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก 

 

 

ติดกับสถานีคือ จุดจอดรถบัส จำจุดจอดรถไว้ให้แม่นส่วนใหญ่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง ต้องนั่งรถไฟต่อรถบัส ซึ่งเหมือนรถเมล์บ้านเรา มีหลายสาย และสามารถดูเส้นทางการเดินรถได้จาก แอพ sbb 

 

 

มาถึงวันแรกถ้าใครไหวจะไปเที่ยวต่อ แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน แต่เราแนะนำวันแรกพักก่อนดีกว่าค่ะ เดินเล่นอยู่ในเมือง มีอะไรสวยงาม ให้ชมมากมาย เรียกว่าเป็นออเดิฟก่อนไปลุยยังที่อื่น  Intelaken ( อินเทอร์ลาเคิน ) เป็นเมืองเล็กน่ารัก ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของสวิสเรียกว่าภาคกลางก็ได้ค่ะ  เป็นทางผ่านที่จะไปยังยอดเขาจุงเฟรา รวมทั้งเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของสวิส อย่าง  lauterbrunnen , Grindelwald  หรือหากจะเดินทางไปเมือง Zermatt ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทือกเขา Matterhorn เทือกเขาชื่อดัง ก็ใช้เวลาในการเดินทางเร็วกว่าการพักที่เมืองซูริค เบิร์น หรือเมืองอื่นๆ สำหรับคนมาเที่ยวเองไม่ต้องลากกระเป๋าเปลี่ยนที่พักให้เหนื่อย  ทำให้ Intelaken เป็นหนึ่งเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน 

 

 

นอกจากความสะดวก Intelaken ยังมีความเป็นเมืองที่ยังมีความเป็นธรรมชาติ มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ล้อมรอบด้วยวิวของยอดเขาจุงเฟราและเทือกเขาแอลป์

 

 

Höhematte Park คือ สวนสาธารณะกลางเมือง เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายของชาวสวิส รวมถึงนักท่องเที่ยวด้วย สวนแห่งนี้เป็นที่ landing  ของคนที่บิน Paragliding หรือร่มบินด้วยค่ะ เพราะ Intelaken เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของกิจกรรม Paragliding  ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาบิน ชมวิวเทือกเขา สนนราคาประมาณ 6 พันบาทไทย  ติดกับสวน คือ โรงแรม Victoria โรงแรมชื่อดังที่สวย โลเคชั่นดีสุดๆ และราคาก็แรงใครมีงบไม่จำกัดแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ บริเวณสวนสาธารณะ ยังมีรถม้าจอดอยู่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของการมาเที่ยว Intelaken  คือ นั่งรถม้าชมเมือง

 

 

เรามาเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม เป็นฤดูใบไม้ร่วง (ต.ค-พ.ย) ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี หากเดินไปยังท้องถนนตามจุดต่างๆ ก็จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งสีส้ม สีแดง สลับกันไป เรามองบางครั้งรู้สึกเหมือนของปลอม แต่มันคือของจริง เดินเล่นชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ถ่ายรูปเพลินไปเลย ในภาพคือ Interlaken Monastery and Castle เป็นโบสถ์คริสต์ที่อยู่กลางเมือง ตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดงสวยงามมาก

 

 

แม้แต่ลานจอดรถยังสวย เต็มไปด้วยใบเมเบิ้ลที่ร่วงลงสู่พื้น อดไม่ได้ที่ต้องไปนั่งถ่ายรูป

 

 

อาคารบ้านเรือน ในเมือง  Intelaken มีความน่ารัก สดใส บางบ้านมีดอกไม้ประดับอยู่หน้าบ้าน  เป็นเมืองที่สามารถเดินเที่ยวได้โดยใช้เวลาไม่นาน เดินเข้าซอยนู้น ออกซอยนี้ ถ่ายรูปเพลินๆก็ทั่วแล้วค่ะ

 

 

นอกจากความเป็นธรรมชาติ บ้านเรือนสวย ยังมีโซนคึกคักเป็นที่ตั้งของร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ  โดยเฉพาะร้านนาฬิกาที่มีเยอะมากกว่าสิ่งใด สวิส เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของนาฬิกาที่มีคุณภาพ หลายแบรนด์ดังถือกำเนิดมาจากสวิส ทั้ง  Rolex  , Patek Philippe ,  TISSOT ,  MIDO , Omega , Swatch และยังมีอีกหลายยี่ห้อ Made in swiss ที่เราอาจไม่รู้จักและราคาไม่แพง แต่ดีไซน์สวยหรูมีระดับ ราคาหลักพันไม่ถึงหมื่น สามารถหาซื้อติดไม้ติดมือกลับมาได้ แต่ร้านส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดในช่วงบ่ายถึงค่ำ นักท่องเที่ยวจะเยอะในช่วงเย็น ในภาพเราถ่ายมาตอนเช้า เลยจะดูเงียบนิดนึง

 

 

กินอะไรดีที่  Intelaken ถ้าไม่ซื้อร้าน coop  ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อมีให้เห็นทั่วสวิส คล้ายเซเว่นบ้านเรา  ** รีวิว coop คร่าวๆในลิงค์ที่เราแปะไว้ข้างบน  ส่วนร้านอาหาร มีร้านอาหารเยอะในระดับหนึ่ง เท่าที่เห็นอาหารที่สวิส จะเป็นร้านพิซซ่า สปาเก็ตตี้ สเต๊ก ฟองดู  อาหารอินเดีย อาหารจีน ร้านอาหารไทยมีสองร้าน การทานอาหารในร้าน ให้เตรียมงบ มื้อหนึ่งหารกันเฉลี่ยต่อคนไม่ต่ำกว่า 1 พันบาท บางร้านมีป้ายภาษาไทยด้วย การันตีว่า เมืองนี้ คนไทยมาพักเยอะ

 

 

มื้อแรกในร้านอาหารช่วงเย็น ทานที่ร้าน X-Port Pizzeria ร้านอาหารขนาดเล็กที่ดีเด่นในเรื่องของเมนูพิซซ่า ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Interlaken ปักหมุดเดินตาม google map มาได้เลยเจอแน่  นอกจากพิซซ่า ยังมีสปาเก็ตตี้ สลัด ไก่ทอด ขายด้วย รสชาติดี ชอบสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่สุด หอมกลิ่นชีส ทานแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนมาก ส่วนพิซซ่าบางกรอบถาดใหญ่ไส้แน่น สลัดพอทานได้กุ้งตัวเล็ดแต่ปรุงมารสชาติอร่อยดี  ร้านนี้มีคนสวิสมารอคิวซื้อกลับบ้านเยอะมาก

 

 

ส่วนที่พักใน  Interlaken  มีมากมาย หลายราคาให้เลือก เราลองเลือกที่พักใน Interlaken ที่ได้คะแนนรีวิวจากนักท่องเที่ยวสูงๆ มาแนะนำตามลิงค์นี้ ลองเลือกได้ คลิ๊ก  15 ที่พัก Interlaken

 

 

วันที่สอง

Harder kulm

ออกจากที่พักประมาณ 9 โมงเช้า เดินไปยัง Harder kulm จุดชมวิวสูงสุดของ Intelaken ที่ไม่ควรพลาด จากจุดชมวิวจะมองเห็นเมือง Intelaken จากมุมสูงได้ทั้งเมือง จุดชมวิวตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางง่ายมาก จากที่พักของเราเดินประมาณ 700 เมตร ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าจะพักอยู่ที่ไหนในง Intelaken ก็เดินไปยังจุดขึ้นรถราง Harder kulm ได้หมดค่ะ หากพักอยู่ในฝั่ง Intelaken ost จะยิ่งใกล้เข้าไปอีก  การเดินทางสามารถตั้งเส้นทางใน google maps เดินตาม google ไปเรื่อยๆ จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำอาเร แวะชื่นชมกับบรรยากาศสักหน่อย ตรงภูเขาที่เห็นต้นไม่กำลังเปลี่ยนสีสวยงาม มองเห็นทางขึ้นขงรถรางไปบนยอดเขา Harder kulm 

 

 

 

มาถึงแล้วก็ซื้อตั๋วรถราง ปกติราคาไปกลับ 34 ฟรังก์ ใช้ swiss pass เป็นส่วนลดได้ครึ่งราคา เหลือ 17 ฟรังก์ นี่คือ ข้อดีของสวิสพาส นอกจากใช้ขึ้นรถโดยสาร รถไฟ เรือ ทุกอย่างได้ไม่จำกัดเที่ยวต่อวันแล้ว ยังใช้เป็นส่วนลดของการท่องเที่ยวในหลายสถานที่ โดยเฉพาะเทือกเขาต่างๆ ได้เกือบครึ่งราคา ประหยัดไปได้เยอะ เพราะฉะนั้นมาเที่ยวสวิสด้วยตัวเองและใช้การเดินทางโดยรถสาธารณะ ต้องมี swiss pass ติดตัวไว้ตลอดการเดินทาง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที รถรางพาเรามาถึงยอดเขา

 

 

จากรถรางเดินเลียบทางเดินนี้ไป ระหว่างทาง หยุดถ่ายรูปตลอด รีบไปนะคะ เพราะความสวยงามที่ว้าวยิ่งกว่า คือ ตรงนู้น ระเบียงชมวิว

 

 

บนจุดชมวิว  Harder kulm ยังมีร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของกินเล่น กาแฟ มาม่า ขายด้วยค่ะ หากหนาวๆ ก็ซื้อกาแฟมาจิบเพิ่มความอุ่นกันได้

 

 

มีลานระเบียงที่ยื่นออกไปจากเนินเขาสามารถชมวิวได้แบบใกล้ชิดแบบไม่มีอะไรมายังสายตา ความรู้สึกที่ได้ยืนตรงนี้เหมือนลอยอยู่เหนือฟ้าอยู่สูง เทียบเท่าภูเขาสมกับเป็น Top off  Intelaken ที่ต้องมาให้ได้

 

 

ก่อนเดินทางมา เราอ่านแค่ในตัวอักษรเป็นภาษาเขียนถึงเมือง Intelaken  ว่าตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทะเลสาบทูน และทะเลสาบบรีนซ์ มีแม่น้ำสายเล็กๆ คือ แม่น้ำอาเร ที่เชื่อมทั้งสองทะเลสาบตัดผ่านกลางเมือง แต่พอได้ขึ้นมามองบนจุดชมวิว Harder kulm ตัวอักษรนั้นกลายเป็นภาพที่ชัดเจนมาก  เทือกเขา วิวเมือง ทะเลสาบที่ขนาบข้างเมืองทั้งสองฝั่ง และสายหมอกที่ลอยอยู่เหนือเมือง สวยงามเป็นที่สุด ขนาดขึ้นมาในสภาพอากาศที่ปิด ท้องฟ้าไม่สดใสนัก ยังมองเห็นเป็นภาพที่ว้าวมาก

 

 

Iseltwald

ประมาณ 11.30 น.  เราลงมากจากจุดชมวิว Harder kulm เดินมายังจุดจอดรถบัสที่  Interlaken Ost  ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ บริเวณร้าน coop เดินมาไม่ไกลมาก เพื่อไปตามรอยซีรีย์ดัง clash landing on you  ที่  Isaltwald  หมู่บ้านขนาดเล็กที่มีความเป็นธรรมชาติมาก ทั้งวิวของบ้านเรือนในในสไตล์สวิสชาเลยดั้งเดิมตั้งลดหลั่นตามเนินเขา ที่นี่มีท่าเรือที่เป็นฉากถ่ายทำตอนพระเอกเล่นเปียโน และนางเอกกำลังล่องเรือในทะเลสาบ Brinz แล้วได้ยินเสียงเปียโนของพระเอกตัว การเดินทางสามารถมาที่นี่ได้ 2 วิธี คือ จาก Interlaken Ost นั่งรถประจำทางสาย 103 ไปลงสุดสายที่ Iseltwald หรือขึ้นเรือจากท่าเรือ Interlaken Ost (See ) ล่องเรือมาตามทะเลสาบ Brinz ลงที่ท่าเรือ Iseltwald (See) สำหรับเราเลือกการเดินทางด้วยรถประจำทางสาย 103 ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงค่ะ มุมยอดฮิต คือ ทางเดินทอดยาวไปยังทะเลสาบเห็นนักท่องเที่ยวมาต่อคิวรอเพื่อถ่ายรูปยาวพอสมควร และใช่ค่ะ 80 % คือ คนไทย มาสวิสไม่ต้องกลัวเหงา เหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่จะเจอคนไทยเยอะมาก

 

 

ด้วยคิวที่ค่อนข้างยาว เลยไม่ได้ไปต่อคิวตรงนั้น แต่เดินหามุมถ่ายภาพตรงจุดอื่นแทน วิวก็สวยเหมือนกัน

 

 

ท่าเรือ Iseltwald มีร้านอาหารอยู่หนึ่งร้าน วิวดีมากเราเลยไปนั่งพัก  และสั่งอาหารมาทานเล่น วิวจากร้านอาหารดีมาก อาหารที่เราพอจะทานได้คงเป็นเมนูนี้ เพราะส่วนใหญ่อาหารร้านนี้มีส่วนประกอบของเนื้อวัว ซึ่งเราไม่ทานเนื้อ เมนูนี้เหมือนปอเปี๊ยะมากรสชาติอร่อยดี

 

 

Giessbach Falls 

จากท่าเรือ Iseltwald สามารถนั่งเรือชมทะเลสาบ Brinz  เพื่อไปเที่ยวต่อได้ ซึ่งเป้าหมายของเราอยู่ที่  น้ำตก Giessbach นั่งเรือไปลงที่ท่าเรือ Giessbach (See)  จากท่าเรือไปยังน้ำตกใช้เวลาประมาณ 30 นาที เรือลำที่มาจอด มาจาก Interlaken Ost (See)  สำหรับท่าเรือตามเมืองต่างๆจะมีต่อท้ายว่า see นะคะ เพราะฉะนั้นเวลาดูรอบเรือ อย่าลืมพิมพ์คำว่า see ต่อท้าย เราจะนั่งเรือลำนี้ไปเที่ยวน้ำตกโดยใช้สวิสพาส เช่นกันไม่ต้องเสียค่าเรือ หรือถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่โดยไม่นั่งเรือ สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้ โดยมาลงที่สถานี Giessbach (See)  แล้วเดินต่อ น้ำตกตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Interlaken

 

 

นั่งเรือชมวิวระหว่างทางไปเรื่อยๆ เป็นเรือที่แล่นอยู่ใน ทะเลสาบ Brinz ทะเลสาบชื่อดังของสวิส สำหรับการมาเที่ยวสวิส นอกจากจะเดินทางด้วยรถไฟแล้ว  อีกหนึ่งการเดินทางที่ต้องมีในทริป คือ นั่งเรือเพราะจะได้ชมวิวสวยจากเรือ มองเห็นแม่น้ำ หมู่บ้าน เละภูเขา เป็นภาพที่สวยงามไม่แพ้การนั่งรถไฟ  มีหลายเมืองทีมีท่าเรือที่เราสามารถนั่งเรือเที่ยว พร้อมกับชมวิวทะเลสาบไปด้วย ทั้ง เมืองทูน Montreux (มองเทรอซ์) เวอเว่  

 

 

มาถึงท่าเรือ  Giessbach See จะต้องนั่งรถรางต่อไปยังตัวน้ำตก ค่ารถรางบวกค่าเข้าชมไปกลับ 10 ฟรังก์ ใช้สวิสพาสเป็นส่วนลด เหลือ 5  ฟรังก์ ระหว่างนั่งรถราง มองเห็นวิวของทะเลสาบ Brinz สีเขียวฟ้า วิวช่างสวยงามเว่อมาก

 

 

นั่งรถรางประมาณ 5 นาที มาถีงทางเดินไปยังน้ำตก ระหว่างทางผ่านป้ายจุดเช็คอิน แวะถ่ายรูปสักหน่อย จากจุดนี้จะมองเห็นน้ำตก Giessbach อยู่ไม่ไกล เห็นทางเดินไปยังตัวน้ำตกแอบท้อแลดูไกล แต่เดินเรื่อยๆแป๊บเดียวถึง ยิ่งมาเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งสวยได้เห็นผืนป่าและต้นไม้สีสันสวยงาม ทั้งสีเหลือง สีแดง สีส้ม สีเขียว ขนาบไปกับน้ำตกและทางเดินขึ้น

 

 

น้ำตก Giessbach เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 14 ขั้น ไหลลงมาจากหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ ลดหลั่นมาตามหน้าผาหิน ไปจนจบที่ทะเลสาบ Brinz ระหว่างทางมีจุดให้แวะพักถ่ายรูปเป็นระยะ

 

 

เดินมาถึงจุดที่ค่อนช้างชัน ต้องขึ้นบันได ไม่นานจะผ่านจุดไฮไลท์ ที่เป็นทางเดินลอดหน้าผาหิน ที่มีน้ำตกไหลผ่าน วิวเบื้องหน้าคือ ทะเลสาบ Brinz และโรงแรม Grandhotel Giessbach ที่มีชื่อเดียวกับน้ำตกและสามารถมองเห็นวิวของน้ำตกได้จากโรงแรม  เป็นโรงแรมเพียงหนึ่งเดียวริมทะเลสาป มีวิวฉากหลังคือเทือกเขา มองแล้วเหมือนภาพวาดอีกแล้ว

 

 

นั่งรถรางกลับเหมือนเดิม และไปขึ้นเรือกลับที่ท่าเรือเดิม เพื่อไปลงยัง Interlaken Ost see ระหว่างทางนั่งเรือก็ชมวิวสวยๆ ไปอีก มาถึง  Interlaken Ost จากนั้นต่อรถบัสกลับที่พักที่ Interlaken west  จบทริปเที่ยว Interlaken ใน EP แรก  ตื่นตาไปกับวิวที่ได้เห็น สวิสสวยงามในทุกมุมมอง สำหรับ  EP ต่อไป จะพาพิชิตยอดเขาจุงเฟรา ยอดเขาที่เรียกได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวที่มาสวิส

 

 

ฝากภาพสมาชิกร่วมเดินทางที่น่ารักในทริปนี้น้องเอร์แคร์และผองเพื่อน นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน AFS ที่สวิส พบกันโดยบังเอิญที่ Harder kulm ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกเรื่อง ตลอด 10 วัน  น้องเป็นเพื่อนเที่ยวที่ดีและน่ารักมาก ทำให้ทริปสวิสเมืองในฝัน ของเรากลายเป็นทริปที่ดีและน่าจดจำตลอดไป ขอบคุณมากนะคะ 

 

 

 

คลิ๊ก EP2 : เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ด้วยตัวเอง EP2 พิชิตจุงเฟรา

 

 

ผู้เขียน

นักเดินทางที่ชอบถ่ายภาพ อยากส่งต่อเรื่องราวของการท่องเที่ยว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน