เมืองงาว ชื่อแปลกดีน่ะฉันรู้จักกับชื่อนี้ครั้งแรกจากหนังสือท่องเที่ยวฉบับหนึ่ง ภาพแอ่งน้ำสีเขียวมรกตท่ามกลางป่าอันชุ่มชื่นของหน้าปกหนังสือสะกดสายตาให้ซื้อมันกลับมาอ่าน ฉันค่อยๆเปิดอ่านและทำความรู้จักกับเมืองเล็กๆแห่งนี้ไปทีละหน้ามันทำให้รู้สึกว่าที่นี่ไม่ธรรมดาเลย ถ้าได้แต่มองจากหนังสือแล้วไม่ได้สัมผัสของจริงคงน่าเสียดายยิ่งนัก การเดินทางของฉันจึงเริ่มต้นอีกครั้ง มาทำความรู้จักกับที่แห่งนี้ด้วยกัน เมืองงาว เมืองง้าวเงิน จังหวัดลำปาง
ทริปนี้ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ออกจากกรุงเทพในช่วงค่ำมาถึงเมืองงาวในตอนเช้าแวะรับประทานอาหารเช้าที่ตลาดสด สำหรับเมืองงาวหากเรา serch หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว แทบจะไม่มีให้เห็น ฉันเดินตามรอยหนังสือล้วนๆ โดยติดต่ออาจารย์นิพันธ์ โทร 089 855 3742 ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในทริปนี้ให้ทั้งหมดตั้งแต่เรื่องที่พัก ที่กิน รถโฟรวิว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งในเมืองงาวซึ่งเป็นไฮไลต์รถตู้หรือรถเก๋งธรรมดาไม่สามารถเข้าได้ต้องใช้รถโฟรวิวเท่านั้น คิดค่าใช้จ่ายเหมา 10 คน ราคา 12,000 บาท ราคานี้รวมรถโฟรวิวนำเที่ยวทั้งวัน ชมการแสดงชนเผ่าอาข่า และอาหาร 3 มื้อ พร้อมที่พัก 1 คืน อาจารย์จัดบ้านเป็นบ้านส่วนตัวหลังใหญ่แบบนี้พักได้ 10 – 15 คน บรรยากาศร่มรื่นและเป็นส่วนตัวมากทีเดียว แต่สำหรับใครต้องการพักแบบโฮมสเตย์อยู่ร่วมกับชาวเชาก็แจ้งได้แต่อาจไม่สะดวกสบายเท่าพักรีสอร์ทในตัวเมือง
ภายในบ้านมีโถงใหญ่ มีห้องนอนแบ่งเป็นห้องเล็กและห้องน้ำในตัว นอนได้ห้องละ 2-3 คน
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วพวกเราก็พร้อมลุย 9.00 น. คือเวลานัดหมายเพื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ประกอบด้วย น้ำตกเกาฟุ น้ำตกแม่แก้ หล่มภูเขียว ปิดท้ายด้วยการขึ้นไปเที่ยวหมูบ้านชาวเขาพร้อมชมการแสดงชนเผ่าในตอนเย็น ฉันอยากชมวิวให้เต็มที่เลยเลือกนั่งข้างหลังกับเพื่อนอีก 5 คน ไม่กี่กิโลเมตรที่ผ่านเส้นทางถนนคอนกรีตสวยงามราบเรียบข้างทางเป็นทุ่งนาข้าว ระยะทางที่เหลือเป็นเส้นทางดินค่อนข้างชันมีหลุ่ม บ่อในบางช่วง ลงหลุมทีก็ร้องทีหัวเราะเสียงดังกันมาตลอดทาง มาเที่ยวทั้งทีต้องได้อารมณ์แบบนี้ที่สำคัญมีเรื่องกลับไปเล่าและแซวกันอย่างสนุกสนาน นั่งข้างหลังเจ็บตุ๊ดน่าดู ตับไตไส้พุงเกือบพัง แต่มันฮาน่ะจะบอกให้ นั่งรถโยกไปโยกมาผ่านเส้นทางออฟโรดประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงกว่าก็มาถึง น้ำตกเกาฟุ เป็นน้ำตกหินปูนที่เป็นชั้นลดหลั่นกันสวยงาม ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกสร้างด้วยฝีมือของมนุษย์ซึ่งใช้เวลาสร้างนานนับ 10 ปี ภายในน้ำตกจะมีกระท่อม 2 หลังเล็กๆ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ไว้สำหรับปฎิบัติธรรมสังเกตว่าบนชั้นแรกของน้ำตกมีรูปปั้นพระสงฆ์อยู่บนนั้นด้วย
ชื่อของน้ำตกตั้งชื่อตามชาวไทยภูเขานามว่า เกาฟุ ซึ่งเป็นคนพบน้ำตกนี้เป็นคนแรก
จาก น้ำตกเกาฟุ นั่งรถมาอีกนิดเดียวก็ถึง น้ำตกแม่แก้ ซึ่งเป็นน้ำตกหินปูนเช่นกัน มาถึงปุ๊บฝนตกทันทีระหว่างรอฝนหยุดก็นั่งรับประทานข้าวกล่องพร้อมน้ำดื่มซึ่งอาจารย์นิพันธ์ได้จัดเตรียมไว้ให้ เพราะถ้าจะหาร้านอาหารกินหรือกลับเข้าไปในเมืองงาวแล้วกลับมาใหม่คงเป็นเป็นไปไม่ได้เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ จากปากทางเข้าน้ำตกเดินเพียงไม่กี่สิบเมตรก็ถึงตัวน้ำตกซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี
ฉันมาช่วงกลางเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงหน้าฝน น้ำตกสวยงามและมีน้ำเยอะพอสมควร ถ้าถามว่ามา เที่ยวเมืองงาว ช่วงไหนน่าจะเหมาะที่สุด ถ้าเน้นเที่ยวน้ำตกด้วยคิดว่าจะช่วงเดือนต.ค – พ.ย. จะดูสวยงามและชุ่มชื่นที่สุด ได้เห็นวิวไร่นาของชาวบ้านซึ่งปลูกอยู่ตลอดทางด้วย
ตั้งกล้องถ่ายน้ำตกฟุ้งๆ ตามระเบียบ ถ่ายมุมกว้างแล้วก็ต้องถ่ายมุมแบบเจาะมาบ้าง
เดินลงมาน้ำตกอีกชั้นที่อยู่ข้างล่าง ฉันชอบถ่ายภาพน้ำตกหินปูนเพราะรู้สึกว่าน้ำตกดูใสมีสีเขียวระเรื่อ หินปูนมีสีและ texture ในแบบของมันเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมสายน้ำตกให้ดูสวยยิ้งขึ้น น้ำตกแม่แก้ ให้ความรู้สึกคล้ายกับน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นและน้ำตกเอราวัณของเมืองกาญซึ่งเป็นน้ำตกหินปูนเช่นกัน
บางมุมอาจดูรกด้วยกิ่งไม้และใบหญ้าบ้าง อยากจะวิ่งไปเก็บออกให้หมด แต่คิดไปคิดมาก็คือ ธรรมชาติแบบไม่ได้เสริมแต่งหลอกตาใครเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติสร้างมาแบบไหนฉันก็เลือกที่จะเก็บภาพมาให้ตรงกับความจริงมากที่สุดเพราะหากบังเอิญมีใครตามมาเที่ยวจะได้รู้ว่า ภาพถ่ายกับของจริงไม่ได้ต่างกัน
จาก น้ำตกแม่แก้ นั่งรถย้อนกลับมาเส้นทางเดิมถึงสถานที่ท่องเที่ยวตามหน้าปกหนังสือซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปที่ดึงให้ฉันมาเมืองงาวเลยก็ได้ ที่ หล่มภูเขียว แอบผิดหวังเพราะไม่ได้เหมือนอย่างที่พวกเราเห็นในภาพ พวกเราต้องนั่งรถผ่านเส้นทางออฟโร๊ดเกือบ 2 ชั่วโมง ไปกลับก็เกือบ 4 ชั่วโมง เวียนหัวแทบแย่เพื่อมาดูสิ่งนี้หรือมันไม่คุ้มค่าซะเลย แต่พี่ที่นำทางมาบอกว่าอาจเป็นเพราะมาช่วงหน้าฝนน้ำขึ้นเยอะ ถ้าจะให้สวยต้องมาช่วงกุมภาหรือเมษา แต่มาช่วงนั้นมันก็ไม่ได้ความชุ่มชื่นและความเขียวขจีของป่าแล้ว เอาเป็นว่าถือว่ามาเพื่อให้รู้ ดูเพื่อให้เห็นแล้วกันค่ะ
หล่มภูเขียว ฉันแทบไม่มีภาพอยู่ในกล้องเลย เพราะไม่รู้จะถ่ายมุมไหนมาให้สวย มีภาพเพียงเท่านี้
แต่อย่างน้อยการมาหล่มภูเขียวก็ทำให้ฉันได้เห็นดอกกระเจียวสีส้มซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ผิดหวังจากหล่มภูเขียวลงมาข้างล่างนั่งดื่มน้ำหาอะไรทานเพิ่มพักให้หายมึนซักครู่ บ่าย 2 โมง พวกเราก็ออกเดินทางไปต่อด้วยเส้นทางออฟโรดอีกแล้ว ทริปนี้แวะตามสถานที่ท่องเที่ยวอยู่แต่ละที่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งรถที่สุดท้ายของการเดินทางวันแรกก็เช่นกัน หมู่บ้านชาวเขาบ้านป่ากล้วย นั่งรถมาผ่านเส้นทางหนักสุดนอกจากจะใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว เส้นทางบางช่วงก็แอบโหดกว่าจะไปถึงยอดดอยซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านได้ทำเอาเหนื่อยเลยทีเดียว พวกเราคุยเล่นกันถ้าใจไม่รักจริงคงมาไม่ได้นะเนี่ย
ระหว่างรอชมการแสดงซึ่งนัดไว้ประมาณ 4 โมงเย็น ก็เดินเล่นชมหมู่บ้านไปเรื่อย ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นชาวเชาเผาอาข่า เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาสูง
Welcome drink จากชาวบ้านมาพร้อมกระบอกไม่ไผ่น่ารักและเก๋ดี เป็นน้ำชากลิ่นหอมและรสชาติดีเลยทีเดียว
ชาวบ้านกำลังคั่วเมล็ดอะไรซักอย่างคล้ายกับเกาลัดให้ทาน รสชาติอร่อยกินกันเพลิน
รอได้ซักพักชาวเขาก็มาพร้อมชุดแต่งกายประจำเผ่าอันสวยงาม นานทีฉันจะได้เห็นชุดขาวเขาแบบเต็มยศที่รวมพลังกันมาพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเพราะในปัจจุบันถ้าเราไปเที่ยวตามหมู่บ้านชาวเขาเห็นชุดแบบนี้ได้ยากเต็มที่
แต่องค์ครบทั้งสาวและเด็กน้อยน่ารักดีค่ะ
กำลังใจจากเพื่อนๆในหมู่บ้านมาชมการแสดงด้วย
การแสดงชนเผ่าจะมีทั้งหมด 3 ชุดให้ได้ชม กลับลงมาถึงที่พักประมาณทุ่มกว่า รับประทานอาหารที่อาจารย์นิพันธ์ได้จัดเตรียมไว้
ทริปวันแรกของการเดินทางเสร็จสิ้นลง แต่การท่องเที่ยวในเมืองงาวยังไม่จบลงการเดินทางในวันที่สองไม่ต้องใช้รถออฟโรดเพราะสถานที่แต่ละแห่งเป็นทางถนนราดยางรถอะไรก็วิ่งได้ พวกเราเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนเส้นทางลำพูน ลาปาง ห่างจากตัวเมืองงาวประมาณเพียง 7 กิโล เดินทางไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึง เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
คณะเราได้รับการต้อนรับและให้ความรู้เป็นอย่างดีจากคุณมานิตย์ วรฉัตร เจ้าของพิพิธภัณฑ์ ในอดีตคุณมานิตย์เคยทำงานเป็นนักพากย์หนังกลางแปลงรวมทั้งเป็นทีมงานพากย์พันธมิตรที่ให้เสียงพากย์ภาพยนตร์มากมาย และไม่อยากให้สิ่งที่ตนเองรักเลือนหายไปจึงได้สร้างพิพิธภัณฑ์นี่ขึ้นมาจากเงินทุนของตัวเอง ” ให้เสียงโดยพันธมิตร” คุณมานิตย์โชว์ลีลาพากทย์หนังให้เราได้ชม
ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นที่เก็บรวบรวมภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง โปสเตอร์หนัง รวมทั้งอุปกรณ์ในการฉายหนังกลางแปลง ประเภทต่างๆ
เดินดูทำให้ย้อนนึกถึงวัยเด็ก สมัยก่อนไปเที่ยวงานวัดทีไรก็จะมีหนังกลางแปลงฉายหนังเรื่องไหนเด็ดจะรีบบอกให้เพื่อนไปจองที่ปูเสื่อรอแถวหน้าจะได้ดูหนังชัดๆ ซื้อข้าวโพดคั่วมานั่งกินอย่างออกรส ดูไปตบยุงไป แม้สมัยนี้จะมีโรงหนังไฮเทค นั่งเก้าอี้นิ่มสบายในห้องแอร์ แต่การนั่งดูหนังกลางแปลงก็มันส์ไปอีกแบบ ดูแบบลูกทุ่งดี
หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปยังชั้น 2 ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมโปสเตอร์หนังและเก็บฟิล์มภาพยนตร์ในอดีต เดินเยี่ยมชมในแต่ละจุดเจ้าของบ้านก็เล่าเรื่องและอธิบายให้พวกเราฟังอย่างมีความสุข
ฟิล์มฉายภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกนำมาบรรจุเก็บไว้เป็นอย่างดี
แสงในยามสายส่องกระทบมาที่เครื่องฉายภาพยนตร์แบบฟิล์ม 35 มม ดึงสายตาฉันให้มองไป ดูขลังและคลาสิค
มาถึงห้องตัดต่อฟิล์ม คุณมานิตย์อธิบายกรรมวิธีและขั้นตอนต่างๆให้เราฟังอย่างตั้งใจ พวกเรากล่าวคำชื่นชมไปมากมายแต่แกบอกว่า ” ชาวบ้านแถวนี้บางคนมองว่าผมเพี้ยนที่มาอนุรักษ์อะไรแบบนี้เงินทองก็ไม่ได้ เค้าว่างั้น” สำหรับฉันมองว่าคนที่พูดหรือคิดแบบนี้อาจไม่รู้ว่าการที่เราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันมีความสุขมากแค่ไหน ฉันฟังคุณมานิตย์เล่าประสบการณ์ไปแสดงโชว์งานตามสถานที่ต่างๆมากมาย รวมถึงการได้แสดงฉายหนังกลางแปลงต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพฯแล้วรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อได้ มันคือ ความภาคภูมิใจ
ก่อนกลับขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกซักหน่อย
กลับเส้นทางเดิมเพื่อไปเก็บภาพสะพานโยง สะพานนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองงาว มาแล้วไม่ได้แวะถือว่ามาไม่ถึง
สะพานโยงตั้งอยู่ใจกลางเมือง คือ สะพานข้ามแม่น้ำงาวซึ่งเชื่อมต่อเมืองงาวไปสู่ลำปางและลำพูน เป็นสะพานแขวนแห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากมีการตัดถนนเข้าสู่เมืองปัจจุบันจึงได้เลิกใช้แล้ว เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ชาวเมืองงาวภาคภูมิใจ
ออกจากตัวเมืองาว ไปตามเส้นทางสายลำปาง – งาว เพื่อไปเที่ยว วัดจองคำ วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของอำเภองาว ซุ้มประตูทางเข้าสีทองสลักลายโดดเด่นสวยงาม
มีเจดีย์สีทององค์เล็กตั้งอยู่ภายในวัด
รวมถึงอุโบสถที่ทำด้วยไม้แกสลักและทาด้วยสีทองทั้งหลัง
ไม่ไกลจากวัดจองคำ พวกเราก็มาถึง อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของเมืองงาว การจะเข้าชมถ้ำเพื่อความปลอดภัยต้องติดต่อที่อุทยานก่อนเพื่อให้เจ้าหน้าที่เปิดไฟและนำทางเข้าไป ทางเดินขึ้นไปชมถ้ำเป็นบันไดยาวประมาณ 300 เมตร ขึ้นไปก็แอบเหนื่อยเล็กน้อย
มาถึงด้านหน้าปากทางเข้าถ้ำ ซึ่งมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านหน้า
อีกมุมนึงมีรอยพระปรมาภิไธยย่อ ปปร. ไว้ภายในถ้ำเพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสถ้ำผาไทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สิ่งที่มหัศจรรย์ของถ้ำนี้ คือ งูคู่สองสี ซึ่งเป็นงูสองลำตัวเลื้อยพันกันจะอยู่ด้วยกันตลอดไม่เคยแยกจากกัน แต่หันหัวไปคนละฝั่ง และไม่ต้องกลัวว่าจะทำร้ายนักท่องเที่ยวค่ะเชื่องแล้ววางใจได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้จะได้เห็นกันง่าย เลยหยอกไปว่างั้นคณะเราโชคดีเจ้าที่ออกมาทักทายตั้งแต่ปากทางเข้าทีเดียว ต้องอธิษฐานขออะไรซักอย่างแล้วละ พอจะเริ่มอธิษฐานอย่างจริงจังเหมือนรู้รีบเลื้อยหลบไปในทันที
ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก สลับซับซ้อนและมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยมากมายที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป
พวกเราเดินไปไม่ลึกมากนักเพราถ้าจะชมให้ครบจริงต้องใช้เวลาเดินไปกลับเกือบ 2 ชั่วโมง เลยขอชมความงามเพียงแค่ช่วงต้นของถ้ำซึ่งก็สวยงามแล้ว
เมืองงาว ลำปาง มีอะไรหลายอย่างให้เราได้เที่ยว ทั้ง น้ำตก วัด ถ้ำ และวิถีชีวิต นอกจากวัดพระธาตุลำปางหลวง น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ถนนคนเดินกาดกองต้า อยากให้ทุกคนได้ลองเปลี่ยนจุดหมายปลายทางโดยมุ่งตรงมาที่งาวบ้าง ฉันว่าอำเภอนี้เป็นเมืองเล็กที่น่ารัก มีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่ใครหลายคนถวิลหา ลองมาใช้ชีวิตในแบบนี้ดูบ้างค่ะ
ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองงาว คลิ๊ก งาว ลำปาง
โปรแกรมการเดินทางตามทริป 2 วัน 1 คืน ช่วงเวลาเดินทางกลางเดือนตุลาคม
วันเดินทาง
21.00 น. เดินทางออกจากกรุงเทพ
วันแรก
07.00 น. ถึงอำเภองาวเก็บสัมภาระเข้าสู่ที่พัก รับประทานอาหาร
09.00 น. เตรียมขึ้นรถโฟร์วิวไปเที่ยวยังน้ำตกเกาฟุ น้ำตกแม่แก้ หล่มภูเขียว พักรับประทานอาหารกลางวันแบบกล่อง
14.00 น. ไปหมู่บ้านชาวเขาเพื่อชมการแสดงชนเผ่า
19.00 น. ลงมาในตัวเมืองรับประทานอาหารเย็น
วันที่สอง
07:00 น. รับประทานอาหารเช้า
09.30 น. แวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง วัดจองคำ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทร
14.00 น. เดิอนทางกลับกรุงเทพ ระหว่างทางแวะไหว้พระธาตุลำปางหลวง แวะรับประทานอาหารเย็น
23.00 น. ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ค่าใช้จ่าย
เฉลี่ยคนละ 2600 บาท (10 คน)