ภูทับเบิก เพชรบูรณ์ ดินแดนในฝันของคนรักและชื่นชอบทะเลหมอก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูที่สามารถสัมผัสสายหมอกที่ภูทับเบิกได้แบบใกล้ชิด ลอยไป ลอยมาให้เราได้ชื่นชมกันตลอดเช้าจรดเย็น เมื่อก่อนหากพูดถึงภูทับเบิกนิยามคำจำกัดความของที่นี่คือ ดินแดนแห่งกะหล่ำปลียักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่หลังจากภูทับเบิกเริ่มมีชื่อเสียงแบบฉุดไม่อยู่ นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามากันมากขึ้น พื้นที่ปลูกกะหล่ำปลีอันกว้างใหญ่ก็เริ่มถูกเปลี่ยนให้เป็นที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกลายเป็นจุดชมทะเลหมอกมาแทนที่ อยากมาดูหมอกก็มีที่พักมุมเหมาะเพียงแค่ทอดสายตาไปก็เห็นหมอกมาทักทายอยู่ตรงหน้า ที่พักแต่ละแห่งก็มีองศาในการมองที่แตกต่างกันไป อีกหนึ่งที่พักสำหรับชมหมอกแบบฟิน ๆ ก็คือ ไร่ริมผา ภูทับเบิก
การเดินทางจากกรุงเทพไปภูทับเบิกใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ขับรถขึ้นเขาผ่านโค้งมาหลายโค้ง ก่อนถึงทางเข้าภูทับเบิก เมื่อมาถึงหมู่บ้านน้ำเพียงดิน จะได้พบกับจุดชมวิวเป็นระเบียงไม้ไผ่ที่สร้างยื่นออกไปก็ไม่รอช้าเลี้ยวรถไปจอดพักชมความงามของสายหมอกกันซักหน่อย
ข้อมูลภูทับเบิก ทั้งที่พัก และการเดินทาง แบบละเอียดคลิ๊ก ภูทับเบิก
เมื่อมองลงไปข้างล่างก็จะเห็นวิวแบบนี้ พร้อมสายหมอกที่ลอยมาตลอดเวลา แม้จะเป็นในช่วงเวลาบ่ายแล้วก็ตาม
ชมวิวจนพอใจขับรถต่อไปยังภูทับเบิก ซึ่งสังเกตได้ง่ายมากเมื่อเราเห็นด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ด้านขวาจะมีถนนเล็กๆ ให้เราเลี้ยวเข้าไปนั่นคือ ทางเข้าไปยังภูทับเบิก ขับรถมานิดนึงจะเจอทางเข้าไปยังจุดชมวิวสูงสุดหรือหอดูดาววัดอุณภูมิ ทางขึ้นชันเล็กน้อย ให้เราเลี้ยวเข้าไปและขับตรงไปเรื่อยๆ ซอยนี้จะแคบและเล็กหน่อยคะ เพราะเป็นจุดศูนย์กลางท่องเที่ยวภูทับเบิกและที่ตั้งของที่พักชื่อดังหลายแห่งเรียงรายกันตลอดเส้นทาง เริ่มจาก ภูการเด้นท์ ทับเบิกรีสอร์ท ไร่ภูทะเลหมอก มาสุดที่ ไร่ริมผา ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้ ไร่ริมผา ราคาที่พักในช่วงหน้าฝนหลังละ 1500 บาท แต่ถ้าช่วงหน้าไฮประมาณเดือน ต.ค. – ก.พ. ราคาจะอยู่ที่ 2500 บาท (รวมอาหารเช้า) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นราคาเกือบมาตราฐานของที่พักบนภูทับเบิกจะประมาณนี้ไม่ทิ้งห่างกันมาก
บ้าน A1 ที่แยกออกมาจากบ้านหลังอื่น ตั้งโดดเด่นอยู่ริมผาสมชื่อ สามารถมองเห็นวิวได้แบบไม่มีอะไรมาบดบัง เป็นบ้านยอดฮิตที่หลายคนต่างแย่งกันครอบครอง และแทบไม่เคยว่างให้ได้พัก โดยเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ ทราบมาว่าเต็มยาวไปจนเกือบถึงหน้าหนาว
แต่ถึงไม่ได้พัก A1 ทุกหลังก็เห็นวิวในมุมเดียวกันได้ เพียงแค่ก้าวขาออกมา ด้านหน้ามีระเบียงชมวิวยื่นออกมาริมผา พื้นที่โดยรอบสามารถชมทะเลหมอกได้แบบใกล้ชิด
เดินมาทางซ้ายข้างบ้าน A1 ยังพอมีแปลงกะหล่ำให้พอได้ชม มองไปข้างหน้าเป็นวิวของภูเขา เห็นยอดเจดีย์อันโดดเด่นของวัดป่าภูทับเบิกอยู่ไกลๆ พร้อมสายหมอกที่ลอยคลอเคลียมาเป็นระยะ
จากระเบียงชมวิวทางด้านขวา เป็นพื้นหญ้าสีเขียวโล่งกว้างสำหรับกางเต้นท์
วิวของสายหมอกเมื่อมองจากมุมตรงนี้ จะมองเห็นถนนและหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่าง ยืนนิ่งชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอด
เย็นแล้วไปหาอะไรทานกัน ร้านอาหารของภูทับเบิกส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารของที่พัก ซึ่งถ้าหากเราเดินไปยังจุดชมวิวสูงสุดก็จะมีให้เลือกทานหลายร้าน จากไร่ริมผาไปยังจุดชมวิวสูงสุดเดินไปประมาณ 200 เมตร เรียกว่าได้ออกกำลังและเหนื่อยนิดหน่อย เดินมาถึงมาถึงทับเบิก รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจุดชมวิวสูงสุด มีที่พักหลายหลังหลายแบบ หลังสีเขียวเรียงรายลดหลั่นหลั่นกันพักได้ 2 คน ราคา 2000 บาท ส่วนบ้านไม้สีน้ำตาล พักได้ 4 คน ราคา 3000 บาท พร้อมอาหารเช้า
ทับเบิก รีสอร์ท มีร้านอาหารของที่พักและระเบียงชมวิว สามารถชมวิวทะเลหมอกได้อย่างดงามอีกจุดหนึ่ง เห็นยอดของวัดภูทับเบิก พร้อมสายหมอกคลอเคลียได้เช่นกัน
ตรงข้ามกับทับเบิก รีสอร์ท คือ ร้านอาหาร ชื่อ ร้านแตะขอบฟ้า มีเมนูอาหารตามสั่งหลากหลาย ทั้งหมูจุ่มทานแก้หนาว รวมถึงเป็นร้านนั่งดื่ม รสชาติอาหารยังไม่สามารถบอกได้เพราะยังไม่ได้ลองทาน แต่หลายคนบอกว่าอาหารถือว่าอร่อย แต่ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าร้านธรรมดาทั่วไป เน้นนั่งชิว กินบรรยากาศ
หลังจากเดินดูร้านมาหลายร้าน ก็มาจบที่ร้านอาหารของภูการ์เด้นท์ รีสอร์ท เป็นเมนูหมูกระทะ ชุดเล็ก 300 บาท ถือว่ารสชาติใช้ได้ อากาศเย็นกินหมูกระทะก็ได้อุ่นดี ตามมาด้วยปีกไก่ทอดน้ำปลาก็อร่อย และผัดกะหล่ำปลีซึ่งรสชาติออกไปทางหวานซักหน่อย
เช้าวันใหม่ตั้งใจตื่นมาแต่เช้าเพื่อมาชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นหน้าบ้านพัก แต่พระอาทิตย์โดนเมฆบดบังไปเสียแล้ว เห็นก็เพียงแต่ทะเลหมอก
เราเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วไปยังหอวัดอุณหภุมิที่จุดชมวิวสูงสุด เห็นหมอกลอยไปมาตลอด มองไปข้างล่างเห็นวิวภูเขาและถนนโผล่มาให้เห็นบ้าง ตามสไตล์การชมหมอกของทับเบิกที่เราต้องคอยเฝ้ารอ
อีกหนึ่งที่พักอยู่ใกล้กับจุดชมวิวนั่นก็คือ ภูการเด้นท์
เราเดินไปชมวิวตรงระเบียงร้านอาหารของทับเบิก รีสอร์ทอีกครั้ง หันมองเห็นอีกมุมนึงของภูทับเบิก เสียดายสถานที่ธรรมชาติสวยๆงามๆ ต้องมาอยู่ในสภาพนี้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยไร่กะหล่ำตอนนี้กลายเป็นที่พักเกือบทั้งหมด แต่ก็ดีใจที่ครั้งนึงเคยได้มีภาพความทรงจำของทับเบิกตั้งแต่มีที่พักเพียงแห่งเดียวคือ วิสาหกิจชุมชนทับเบิก อาจ ไม่ต้องรอนานเกินปีดินแดนแห่งภูเขากะหล่ำที่สวยงามคงกลายเป็นดินแดนแห่งที่พักโฮมสเตย์บนดอยสูง ที่เยอะที่สุดและแน่นที่สุดในประเทศไทย เอาเป็นว่าใครอยากไปอีกก็ให้รีบไปซะเสียตอนนี้
เดินกลับมายังที่พักผ่านไร่ภูทะลหมอก แวะไปชมบรรยากาศซักหน่อย
ขึ้นไปชมวิวตรงดาดฟ้า ก็จะเห็นวิวแบบนี้
มองไปด้านขวาก็จะเป็นที่ตั้งของไร่ริมผา ที่เราพัก ใกล้กันนิดเดียว
หันหลังมองกลับไปก็จะเห็นหอวัดอุณหภูมิที่จุดชมวิวสูงสุด รวมถึงที่พักมากมาย ด้านหน้า 2 หลัง คือ ไร่ทะเลหมอก ที่เห็นไกลๆ คือ ทับเบิกรีสอร์ท และภูการเด้นท์ ไล่เรียงรายกันไป ต้องบอกว่าแน่นจริงไรจริง
บรรยากาศของแปลงกะหล่ำปลีข้างบ้าน A1 ในเวลาเช้า หมอกมาตรึม
นั่งชิวดูหมอกที่ลอยผ่านไป ฟินสุดๆ
มาชมทะเลหมอกหน้าที่พักกันต่อ
ได้เวลาสายก็ถึงเวลาที่เราต้องล่ำลาสายหมอกที่ภูทับเบิกกับความประทับใจและบรรยากาศดี ดี วิว สวยของไร่ริมผาก่อนกลับก็ขับรถขึ้นไปชมวิวของภูทับเบิกทางฝั่งไม้กางแขนบ้าง ฝั่งนี้ถึงแม้ว่าวิวจะไม่สวยเท่าฝั่งจุดชมวิวสูงสุด แต่ก็ถือว่าค่อนข้างสงบพอสมควรยังไม่มีที่พักแออัดมากเท่าไหร่ หากใครอยากเห็นหมอกอลังการที่ภูทับเบิกที่มาพร้อมกับความเขียวขจี ฤดูฝนคงเป็นฤดูที่เหมาะที่สุด กับการเที่ยวภูทับเบิก เพื่อมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้
Tags : ภูทับเบิก, เพชรบูรณ์, ไร่ริมผา