เที่ยวเพชรบุรี 2 วัน 1 คืน

เที่ยวเพชรบุรี สุขใจ ใกล้ดี  เพียงแค่  2 ชั่วโมงจากกรุงเทพ เราก็จะได้พบกับสถานที่เที่ยวสุดหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา น้ำตก วัด วาอาราม เก่าแก่ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ หรืแม้แต่ที่เที่ยวชิคเก๋ ที่เพชรบุรีมีให้เราได้เลือกเที่ยวตามใจชอบ หากมีเวลา 2 วัน 1 คืน ที่เพชรบุรี นอกจากเขาวัง ชะอำ แก่งกระจานแล้วที่นี่มีอะไรดี อะไรเด่น  ให้แวะเที่ยวได้บ้าง

 

1 cover

 

09.30 หยุดเวลาชมแสงมหัศจรรย์ ที่ถ้ำเขาหลวง

เริ่มสตาร์ทออกจากรุงเทพกันแต่เช้าหน่อยเพราะจะได้มีเวลาแวะเที่ยวได้หลากที่ จุดแรกที่อยากให้แวะไป คือ ถ้ำเขาหลวง เพื่อมาชมไฮไลต์ คือแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจากปล่องแสงของเพดานถ้ำลงมาสู่พื้นข้างล่างคล้ายกับมีสปอร์ตไลท์ส่องลงมาเป็นภาพที่อัศจรรย์และงดงามมาก ช่วงเวลาที่จะมีแสงส่องลงมาเยอะที่สุด คือประมาณ 9.30 -10.30 น. ซึ่งลักษณะของลำแสงจะแตกต่างกันไปตามสภาพอากาศในแต่ละฤดู  ข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก ถ้ำเขาหลวง

 

 

ถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่เสด็จประพาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดถ้ำเขาหลวงนี้มาก โดยทรงบูรณะพระพุทธรูปเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณหลายองค์ด้วยกัน และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างบันไดหินลงไปในถ้ำ ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อยสวยมาก นอกจากนี้ยังมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่และหลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ลงมาเที่ยวถ้ำจะมากราบไหว้บูชา

 

 

13.00 น. ตามรอยพ่อ ชมวิถีพอเพียงที่ โครงการชั่งหัวมันในพระราชดำริ  

จากถ้ำเขาหลวงเราเดินทางต่อไปยัง อ.ท่ายาง แวะรับประทานอาหารกลางวันในตัวอำเภอจากนั้นเดินทางไปที่ โครงการชั่งหัวมัน ครั้งแรกที่เห็นชื่อก็รู้สึกสะดุดตา ทำไมต้อง ชั่งหัวมัน มีที่มาที่ไปอย่างไร และเกี่ยวอะไรกับมัน ชักอยากรู้จักโครงการนีแล้วสิ  เมื่อมาถึงทางเข้าเสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท  จากนั้นนำรถไปจอดยังลานจอดรถแล้วเดินมาขึ้นรถรางนำเที่ยวซึ่งจะทำหน้าที่พาเราไปชมจุดต่างๆ ตรงข้ามลานจอดรถมีทุ่งปอเทืองเหลืองอาร่าม พลิ้วไหวสวยงาม  มาในตอนกลางวันจะร้อนไปซักนิด แต่ก็ยังมีลมพัดมาเป็นระยะ ช่วยคลายร้อยไปได้บ้าง

 

โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ เกิดขึ้นจากความเอาพระทัยใส่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อเกษตรกรในการที่จะพัฒนาส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้ ประสบความสำเร็จและสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่าง ยั่งยืน

 

 

ที่มาของโครงการ เริ่มที่พระองค์ท่านประทับอยู่ ณ วังไกลกังวลแล้วมีชาวบ้านนำมันเทศมาถวาย ช่วงนั้นพระองค์ ต้องเสด็จกลับกรุงเทพเลยรับสั่งให้ เจ้าหน้าที่นำหัวมันเทศนั้นไปวางไว้บนตาชั่งในห้องทรงงานจากนั้นก็เสด็จกลับกรุงเทพ เวลาล่วงเป็นเดือน เมื่อเสด็จกลับมาหัวหินทรงพบว่ามันเทศนั้นได้แตกใบ เลยตรัสว่า “มัน อยู่ที่ไหนก็ขึ้น”ดังนั้นจึงมีพระราชดำริให้จัดหาที่ดินเพื่อทำโครงการด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2551 ก็ได้ซื้อที่ดินจำนวน 120 ไร่ และต่อมาในกลางปี 2552 ทรงซื้อที่ดินแปลงติดกันเพิ่มอีก ณ บ้านหนองคอไก่ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 250 ไร่เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์รวบรวมพืชเศรษฐกิจนานาชนิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับเกษตรกรโดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรี ที่มีพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทรงพระราชทานพันธุ์มันเทศ ซึ่งงอกออกมาจากหัวมันที่ตั้งโชว์ไว้บนตาชั่งในห้องทรงงานที่วังไกลกังวล ให้นำมาปลูกไว้ที่ที่ดินแปลงนี้และพระราชทานชื่อโครงการว่า “โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ”

 

 

นับว่าเป็นโครงการส่วนพระองค์ที่แท้จริงรวมถึงเป็นพื้นที่ให้ศึกษาดูงานสำหรับ ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา มาได้เป็นครอบครัวหรือหมู่คณะ  โดยได้มีรถรางพานำชมทั่วไร่พร้อมวิทยากรบรรยายตามแต่ละจุดเปิดให้ชมตั้งแต่ 08.30 น. – 18. 00 น.

 

19 DEW_8531

 

กังหันลมผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และบริษัท พระพายเทคโนโลยี จำกัด ร่วมกันออกแบบติดตั้ง กังหันลมและระบบจำหน่ายไฟฟ้าจำนวน 20 ชุด ขนาดกำลังผลิตรวม 50 KW ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทัพบกและได้รับพระราชทานวัวนมจากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดามาเลี้ยงไว้ที่นี่ โดยใช้พื้นที่ใต้กังหันลมเป็นพื้นที่ปลูกหญ้าสำหรับ เลี้ยงวัว ด้านหน้ามีร้านโกลเด้นท์เพลส ซึ่งเป็นร้านขายสินค้าทางการเกษตรแบบปลอดสารพิษรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆของโครงการ

 

 

ภายในโครงการมีทั้ง ฟาร์มโคนม  แปลงปลูกมันเทศซึ่งเป็นที่มาของชื่อโครงการนี้ รวมถึงแปลงพืชเศรษฐกิจต่างๆ เช่น สับปะรด มะนาว มะพร้าว นอกเหนือจากพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ ก็ยังมีการปลูกไม้ผล พืชไร่ และพืชผัก  อาทิ แก้วมังกร ชมพู่เพชร กล้วย ฟักทอง กะเพรา โหระพา พริก ฯลฯ  มีแปลงปลูกข้าว ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว

 

 

ความร่มรื่นและสวยงามของทิวทัศน์ภายในโครงการชั่งหัวมัน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพลิกผืนดินนี้จากดินที่แห้งแล้งกลายเป็นพื้นที่เขียวขจี

 

 

พระตำหนักทรงงานที่ตั้งอยู่ภายในโครงการเป็นบ้านไม้สองชั้นเรียบง่ายที่ใช้ทรงงานและพักผ่อนพระอิริยาบถเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมโครงการนี้ รวมถึงรถที่ทรงใช้ทรงงานก็จอดอยู่ภายในบริเวณพระตำหนักด้วย

 

 

สถานีจ่ายน้ำมัน สีแดงเหลือง สร้างคล้ายกับสถานีรถไฟหัวหิน  ด้านหลังของสถานี คือ ห้องน้ำ

 

 

14 .00 น.  พักผ่อน นอนชิว ชมพระอาทิตย์ตก ที่เขื่อนแก่งกระจาน

หลังจากเที่ยวและต้องเจออากาศร้อนอบอ้าวมาเกือบทั้งวัน ณ เวลานี้ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าการได้นอนพัก และที่พักในคืนนี้ไม่ใช่ รีสอร์ทหรูหรา ราคาแสนแพงอะไร แต่เป็นบ้านพักของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เรียกได้ดีงามไม่แพ้ รีสอร์ท ที่กระจายอยู่รอบนอก ใครว่าบ้านพักอุทยานฯไม่ดีบางทีอาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะบางหลังก็วิวสวย บรรยากาศดี และน่าพักมาก อย่างบ้านโซนริมน้ำเรียงรายกันอยู่ริมเขื่อน พักได้ 4 คน  เป็นห้องแอร์  มีห้องโถงรวม และระเบียงชมวิว ในราคาแค่ 1200 บาท เท่านั้น  สามารถจองบ้านพักผ่านเว็บไซต์ของกรมอุทยานได้เลยแต่ในเว็บไซต์ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นแอร์น่ะค่ะ ยังเขียนว่าเป็นพัดลม

29 DEW_8558

30 DEW_8550

31 DEW_8556

 

เมื่อถึงเวลายามเย็นก็เดินเล่นมาชมวิวริมเขื่อนและสะพานแขวนได้อีกด้วย อยู่ไม่ไกลกัน

 

32 DEW_8563

33 DEW_8571

 

มาถึงในช่วงเวลาของบรรยากาศยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเหนือเขื่อน วิวนี้จากร้านอาหารแก่งเพชร

 

34 DEW_8593

35 DEW_0984

 

หน้าตาอาหารที่ครัวแก่งเพชร รสชาติอร่อยทุกเมนู

 

แก่งเพชร

 

05 .00 น.  ตื่นแต่เช้าไปชมทะเลหมอกพะเนินทุ่ง

อีกหนึ่งไฮไลต์ของการมาเที่ยวแก่งกระจาน นั่นก็คือ การมาชมทะเลหมอกสุดอลังการที่จุดชมวิวพะเนินทุ่ง ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีทะเลหมอกให้เราได้เห็นกันตลอดทั้งปี แม้กระทั่งหน้าร้อนก็ตาม  เพราะหมอก ดังกล่าวเกิดจากต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แล้วคลาย ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์ ออกมาแล้วเกิดเป็นหมอกที่สวยงาม ในยามเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุม ทั่วหุบเขา  ข้อมูลเพิ่มเติมคลิ๊ก พะเนินทุ่ง

 

 

จากที่ทำการอุทยานฯ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า เนื่องจากเส้นทางขึ้นช่วงสุดท้ายค่อนข้างชั้นและออฟโรดพอสมควร หากไม่มีรถกระบะเอง สามารใช้บริการรถนำเที่ยวของอุทยานราคาคันละ  1600 บาท นั่งได้ 10 คน  สามารถติดต่อเช่ารถได้ที่ทำทำการอุทยานก่อนเข้ามาได้เลย รถก็จะมารับถึงหน้าที่พัก โดยจุดชมทะเลหมอกจะสามารถชมได้ 2 จุด คือ จุดแรก คือ จุดยอดฮิตที่ทุกคนต้องแวะนั่นก็คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 ทะเลหมอกเช้าวันนี้ถือว่ายังไม่หนาแน่นมาก แต่ถ้าเทียบว่าตอนนี้คือ ฤดูร้อนและเป็นเวลา 8 โมงกว่า มีหมอกให้ชมมากขนาดนี้ก็ถือว่าวิเศษที่สุดแล้ว

 

 

พะเนินทุ่งมีจุดชมทะเลหมอกอีกจุดหนึ่ง คือ จุดชมวิว ก.ม. 36  ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนอาจยังไม่ทราบอีกอย่างคือ รถนำเที่ยวไม่ค่อยพาไปด้วยนอกจากต้องบอกให้พาไป ทะเลหมอกจุดนี้ห่างจากจุดแรกประมาณ 6 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางเกือบ 30 นาที

 

 

จุดชมวิวจุดนี้ตั้งอยู่ริมทาง  สามารถมองเห็นหมอกได้ใกล้ชิดกว่าจุดแรก หมอกค่อนข้างจะฟูกว่า ยิ่งสายหมอกก็ยิ่งลอยละล่องขึ้นมาเรื่อยๆ แทบจะประชิดตัว

 

 

ระหว่างทางกลับจากพะเนินทุ่ง หากมาในช่วงเดือนเม.ย. – พ.ค. ซึ่งเป็นฤดูกาลชมผีเสื้อ เราก็จะได้พบเห็นผีเสื้อบินว่อนตลอดทาง โดยเฉพาะตามลำธารจะมีให้เห็นมาเป็นพิเศษ เพราะอากาศร้อนผีเสื้อจะบินออกมากินโป่งและน้ำบริเวณจุดที่มีความชื้น อีกจุดหนึ่งที่สามารถเห็นผีเสื้อได้เยอะ ก็คือ แคมป์บ้านกร่าง

 

45 DEW_1006

46 DEW_1018

 

จบโปรแกรมการท่องเที่ยวประมาณ 11 โมงกว่า เช็คเอาท์ออกจากบ้านพัก จากนั้นรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านครัว ริมแก่ง อีกหนึ่งร้านอาหารอร่อยวิวสวย ของเขื่อนแก่งกระจาน

 

ครัวริมแก่ง

 

 

14 .00 น.   แวะวัดข่อย ชมพระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฏิ

พระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฏิ ตั้งอยู่ที่ วัดข่อย  เป็นศาสนสถานที่มีการนำงานศิลปะชั้นสูงของช่างเมืองเพชร หรือเรียกว่า ช่างสิบหมู่  มาเป็นส่วนร่วมสร้างอาคาร เพื่อเทิดทูนบูชาพระพุทธศาสนาให้เกิดความสวยงามตามความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน จนเรียกได้ว่า เป็น พุทธสถานศิลป์ หนึ่งเดียวในโลก

 

 

องค์พระธาตุเป็นทรงอาคารสี่เหลี่ยมจัตุรัส สีขาวงดงาม ตรงกลางผนังด้านบนมีตัวอักษรคล้ายผ้ายันต์  ซึ่งพระวัชรวิชญ์ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดข่อย  ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นฆราวาสได้มีโอกาสเห็นผ้ายันต์ฉิมพลีของ วัดท่าไชยศิริ อ.บ้านลาด จึงจินตนาการต่อว่าภาพบนผืนผ้ายันต์เสมือนวิมานบนสวรรค์   มีพระพุทธรูปประจำอยู่ 4 ทิศ   ดูแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

 

 

ด้านนอกมีรูปปั้นมักกะลีผลแขวนบนต้นไม้เป็นเพศชายซึ่งแตกต่าง จากมักกลีผลทั่วไป ที่เป็นเพศหญิง ส่วนสาเหตุที่สร้างเป็นเพศชายนั้นก็เพื่อให้ญาติโยมที่มาเที่ยวมาไหว้พระเห็นแล้วแปลกใจถือว่าคลายเครียดไปด้วย

 

 

ด้านหลังพระธาตุ มีลวดลายปูนปั้นที่อ่อนช้อยและงดงามตรงกำแพง ซึ่งในตอนนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย

 

 

ภายในพระธาตุมีพระประธาน 3 องค์ พระพุทธเศรษฐีนวโกฏิด้านซ้าย, พระพุทธมิ่งมงคล ตรงกลาง, พระสิวลีมหาลาภร่มเย็น ทางด้านขวา ข้างบนเพดานเห็นผนังทั้งสี่ด้านแกะสลักเป็นตัวอักขระขอมบท พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เหนือบริเวณพระประธาน ซึ่งเป็นยันต์ของ หลวงพ่อทองศุข แห่งวัดโตนดหลวง ยันต์พรหมสี่หน้า และยันต์หงส์มหาเสน่ห์ หรือหงส์เรียกทรัพย์ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมากเชื่อว่า หากผู้ใดมาสักการะบูชาจะได้พบแต่ความเจริญ สมหวังในหน้าที่การงาน และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ตัวผู้สักการะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความดี

ข้อมูลเพิ่มเติม วัดข่อย

 

 

 

 

 16 .00 น.   ชมจิตรกรรมฝาผนังโบราณ วัดใหญ่สุวรรณาราม 

เคยเห็นจิตรกรรมฝาผนังโบราณเก่าแก่มาหลายที่ ไม่คิดว่าที่เพชรบุรีจะมีให้เราได้ชมด้วย  ไม่ไกลจากวัดช่อย ในตัวเมืองเพชรบุรี เราไปกันต่อที่  วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดเก่าแก่และสำคัญมากของจังหวัดเพชรบุรี สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นแหล่งรวมฝีมืองานช่างที่ปราณีต อ่อนช้อยและงดงาม ของชาวเพชรบุรีไว้มากมาย

 

 

ภายในพระอุโบสถมีภาพทวารบาล  ภาพพุทธประวัติ จิตรกรรมภาพเทพชุมนุม เรียงรายกัน 5 ชั้นมีอายุกว่า 400 ปี   เสาและเพดานมีการตกแต่งด้วยลายทองบนพื้นแดงอย่างวิจิตร ด้วยความงดงามและความเก่าแก่ของทำให้วัดใหญ่สุวรรณรามเคยใช้เป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง สุริโยทัยรวมถึงละครเรื่องบ่วง และขุนศึกอีกด้วย

 

 

พระประธาน เป็น พระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย พุทธลักษณะสมส่วนสวยงาม มีพระพุทธรูปที่งดงาม อีกหลายองค์ประดิษฐานบนฐานชั้นล่าง ได้แก่ พระคันธารราษฎร์  พระพุทธรูปเก่าแก่ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมา ประดิษฐานในโบสถ์แห่งนี้ และมีรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราชแตงโมประดิษฐานอยู่หน้าพระประธาน

 

 

ด้านหลังพระประธาน เป็นพระพุทธรูปที่มีนิ้วพระบาท ๖ นิ้ว เรียกกันว่า “พระหกนิ้ว”   นับเป็นเรื่องแปลกที่เล่าสืบกันมาว่าพระพุทธรูปองค์นี้ช่างตั้งใจที่จะ สร้างให้มี 6  นิ้ว (มองเห็นเฉพาะพระบาทขวา ส่วนพระบาทซ้ายเป็นท่าขัดสมาธิอยู่ใต้พระชานุ) อันเนื่องมาจากพระพุทธรูปในวัดเขายี่สาร มีนิ้วพระบาทรวมกันได้ 9 นิ้ว เมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ช่างจึงได้สร้างให้มีนิ้วพระบาทเกินมา 1 นิ้ว ตำนานเรื่องนี้ไม่มีข้อพิสูจน์ แต่ถ้าเกิดจากความบังเอิญนับว่าเป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะกันมากเพราะวัดเขายี่สารอยู่ในพื้นที่ จังหวัดสมุทรสงครามซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดเพชรบุรี

 

 

ด้านหน้าอุโบสถ คือ ศาลาการเปรียญ ลักษณะเป็นเรือนไทยขนาดใหญ่ เดิมเป็นตำหนักที่ประทับของพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือรื้อมาถวายพระสังฆราชแตงโม ภายในศาลมีพระประธานภายในศาลาการเปรียญ ธรรมาสน์โบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา

 

 

บานประตูแกะสลักที่งดงามและมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์และศิลปกรรมนั่นคือเป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย และที่บานประตู หากเราสังเกตดีๆ จะเห็นเป็นร่องโหว่ที่ประตูหลังธรรมาสน์ คือ ช่องนี้คือรอยทหารพม่าใช้ขวานจามบานประตูเพื่อจับคนที่อยู่ข้างใน  นับว่าทางวัดยังอนุรกษ์เรื่องราวและร่องรอยในประวัติศาตร์ไว้เป็นอย่างดี ปกติมาถึงเพชรบุรีก็ไม่เคยจะได้มีโอกาสได้เที่ยววัดในตัวเมืองซักที วัดเมืองเพชรให้ความรู้สึกว่าเป็นวัดเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศสาตร์โดยที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก เพราะศิลปะและโบราณวัตถุต่างๆ เป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ดีอยู่แล้ว  มัวแต่เดินทางหลงไปกับแสงสีของที่นี่ซะจนเพลิน เข้ามาในตัวเมืองแวะมาเที่ยววัดกันซักหน่อยก็เข้าท่าดี

 

 

จบทริป 2 วัน 1 คืน เพชรบุรี  ทำให้เราได้รู้จักเมืองนี้ดีมากขึ้น เรียกว่าเที่ยวเยอะ ครบและอัดแน่น เพชรบุรี ไม่ได้มีให้แวะแค่เขาวัง หาดชะอำ ซานโตรินี่ แก่งกระจาน  หรืออาจเลยไปหัวหิน  ยังมีอะไรที่มีดี และน่าแวะอีกเยอะค่ะ

 

ผู้เขียน

นักเดินทางที่ชอบถ่ายภาพ อยากส่งต่อเรื่องราวของการท่องเที่ยว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

บทความที่เกี่ยวข้อง