เที่ยวสวนผึ้ง 2 วัน 1 คืน  แช่ออนเซน ชมหมู่บ้านมอญ แวะอัลปาก้าฮิลล์

อีกหนึ่งตำนานแห่งการท่องเที่ยวที่บรรยากาศคล้ายภาคเหนือ แต่ไม่ต้องไปไกล ต้อง สวนผึ้ง ดินแดนแสนโรแมนติก ที่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติสวยงาม มีวิวภูเขาสวยๆของเทือกเขาตะนาวศรีเรียงรายสลับซับซ้อน อยากพักผ่อนแบบเงียบสงบ ชมป่าเขา ธรรมชาติ ฟังเสียงนกร้อง พักยังที่พักสะดวกสบาย แวะเที่ยว แวะทานอาหารพื้นถิ่นแสนอร่อย ต้องมาที่ สวนผึ้ง แหล่งสูดอากาศบริสุทธิ์ชั้นดี ที่หลายคนอาจลืมเลือนไป แวะมาเปลี่ยนความทรงจำเดิมจากที่เราเคยรู้จักสวนผึ้ง เพราะที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่แกะ ซีนนารี่ รีสอร์ท บ้านหอมเทียน หรือเขากระโจม แต่ปัจจุบันสวนผึ้งมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ที่น่าเที่ยว มีที่พักเกิดขึ้นมากมาย  2 วัน 1 คืน เที่ยวสวนผึ้ง ได้พักผ่อนและเต็มอิ่มไปกับธรรมชาติสวยแน่นอน

 

 

วันแรก

 

Alpaca hill 

จุดหมายแรก เราไปยัง Alpaca hill  (อัลปาก้า ฮิลท์)  สวนสัตว์เปิดสุดหรรษา ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 250 ไร่ ท่ามกลางธรรมชาติและภูเขาเขียวขจี ที่เราสามารถใกล้ชิดสัตว์ได้เกือบทุกตัว มีสัตว์มากมายหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หาชมได้ยาก อีกหนึ่งไฮไลท์ของ อัลปาก้าฮิลท์ คือ บ้านฮอบบิทมีฝูงห่านมาเดินเล่น ให้อาหารและถ่ายรูปแสนน่ารักเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย เป็นสวนสัตว์แบบเปิดที่รู้สึกว่า สัตว์ทุกตัวดูมีความสุข อยู่ในคอกเป็นสัดส่วน และสามารถเข้าชมและสัมผัส ถ่ายภาพสัตว์ได้แบบใกล้ชิด โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวตลอดเป็นการเที่ยวสวนสัตว์ที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่เที่ยวสวนสัตว์มาหลายแห่ง สามารถใกล้ชิดสัตว์น้อยน่ารัก แปลกตาที่มีความเฟรนด์ลี่กับนักท่องเที่ยวมาก

 

 

Alpaca hill  ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสวนผึ้งพอประมาณ ใช้เวลาเดินทางเกือบสี่สิบนาที เรียกได้ว่าอยู่เกือบจะใกล้เขตจังหวัดกาญจนบุรี และตลอดเส้นทางที่ขับรถมาที่นี่ ไม่มีป้ายบอกทางใดๆนะคะ จนคิดว่าขับหลงมาหรือเปล่า แต่ไม่ต้องตกใจให้ขับรถตาม google maps มาเรื่อยๆพอใกล้ถึงรอยัล กู๊ดวิว รีสอร์ท นั่นคือ ใกล้ถึง  Alpaca hill แล้ว ตั้งอยู่ติดกันเลย จอดรถด้านหน้า แล้วไปซื้อบัตรเข้าชมได้ที่อาคารนี้ เหมือนปราสาทในนิยายนิดนึง ค่าบัตรคนละ 290 บาท สามารถชมสัตว์ได้ทุกชนิด แต่ราคานี้จะไม่รวมค่ากิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะมีแจ้งไว้ชัดเจนตรงจุดขายบัตร ว่าแต่ละกิจกรรมราคาเท่าไหร่บ้าง เราก็ซื้อบัตรชมสวนสัตว์แบบปกติ ราคา 290 บาท

 

 

ได้บัตรแล้วพร้อมลุย จุดแรกมุ่งตรงไปที่บ้านฮอบบิทก่อนเลย เพราะหากไปช่วงสายกลัวจะเยอะ เพราะที่นี่ ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์การถ่ายรูปของ Alpaca hill  มีฝูงห่านน้อยน่ารัก มาเดินกันทั้งฝูง รอให้เราให้อาหารและแชะรูปด้วย พร้อมฉากหลังที่เป็นบ้านฮอบบิทและภูเขา อยากให้น้องห่านเข้าหา ซื้ออาหารค่ะ ถังละ 50 บาท วางขายอยู่ตรงจุดนั้นเลย  

 

 

เนื่องจากมาแต่เช้าตั้งแต่สวนสัตว์เปิด และเป็นวันธรรมดา จึงไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น แต่ถ้ามาเสาร์ อาทิตย์ คนก็จะเยอะพอสมควร งานนี้เลยถ่ายอยู่คนเดียวอิ่มใจไปเลย หมดค่าอาหารไปสามถัง 150 บาท ห่านอิ่มท้อง ส่วนเราอิ่มใจที่ได้ภาพสวยๆ น้องห่านน่ารักมาก ค่อนข้างเชื่อง อ้วนปุยมุ้ย สีขนขาวสะอาด บ่งบอกว่าได้รับการดูแลอย่างดี และคนดูแลก็ใส่ใจมาก เขาจะมาช่วยต้อนห่านให้มาอยู่ใกล้เราเพื่อให้ได้ภาพที่สวยที่สุด

 

 

ถ่ายภาพกับน้องห่านแล้วก็ปล่อยให้น้องไปพักเล่นน้ำตรงสระน้ำใกล้ๆ เราก็มานั่งโพสต์ท่า ถ่ายคู่กับบ้านฮอบบิทก็ต่อ  มีหลายหลังไล่ระดับกันไปบนเนิน ได้ฉากหลังเป็นภูเขาเขียวขจี เหมือนภาพในเทพนิยายมาก

 

 

หลังจากถ่ายภาพบ้านฮอบบิทแล้ว เดินชมสัตว์ต่อที่สวนสัตว์ ภายในสวนสัตว์มีสัตว์มากมายหลายประเภท ทั้ง อัลปาก้า  จิงโจ้ หนูยักษ์ หนูแฮมเตอร์ หนูแกสบี้  เต่ายักษ์คาปิบาร่า กิ้งก่ายักษ์ นกฮูก แพะ  กวางแบมบี้ นกกระจอกเทศ กระต่าย และสัตว์อีกหลายชนิด ซึ่งจะต้องเดินผ่านทิวต้นสน สวยงามอีกแล้ว ก่อนประตูทางเข้าก็จะเจอกับพนักงานต้อนรับตัวน้อย นกฮูก นั่นเอง อ้วนท้วนน่ารักมาก  จุดนี้จัดธีมแบบ Harry potter มีชุดเฮรีพอร์ตเตอร์ให้เช่าใส่ถ่ายกับนกฮูกด้วย

 

 

ผ่านประตูทางเข้ามาแล้ว  มีสัตว์ให้ชมในหลายจุด โดยมีพนักงานคอยให้คำแนะนำเกือบทุกจุด ว่าเราต้องเริ่มจากจุดไหนก่อน เพราะสวนสัตว์มีสัตว์หลายชนิด ซึ่งแยกกันอยู่ตามคอกต่างๆ พนักงานบอกว่าให้เดินเข้าซุ้มประตูไปตามทางนี้ เพื่อไปชมแพะแคระก่อน ซึ่งในคอกนี้นอกจากแพะ ก็ยังมีไก่ตัวเล็กๆด้วย น้องๆสามารถอยู่ด้วยกันแบบเป็นมิตรมาก สัตว์ทุกตัวสามารถสัมผัสได้ และเดินเข้าไปอุ้มได้เลย จะมีพนักงานคอยช่วย พนักงานที่นี่ต้องปรบมือให้ สุภาพและบริการดีมากทุกคน  

 

 

ฐานต่อไป คือ คาเฟ่นกกระจอกเทศ  เป็นจุดขายเครื่องดื่ม และมีนกกระจอกเทศอยู่ตรงจุดนี้ เลี้ยงแบบเปิดมาก ถึงแม้จะอยู่ในคอก แต่เป็นคอกที่ไม่เหมือนคอก เพราะปล่อยให้น้องอยู่แบบอิสระ น้องดูหน้ายิ่มมีความสุขนะคะ พอเห็นนักท่องเที่ยวจะรีบเดินมาหาเพราะรู้ต้องได้กินอาหารแน่ เราสามารถให้อาหารได้โดยมีพนักงานนำอาหารใส่ถาดมาให้ฟรี เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราชอบของที่นี่ ไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหาร ทางสวนสัตว์มีให้แบบฟรี ยกเว้นบ้านฮอบบิทที่มีห่าน และอาหารนกเท่านั้นที่ต้องซื้อ

 

 

จุดต่อไป กวางลายเสือดาว อันนี้เราต้องไปอยู่ในกรงแทนน้องเพื่อให้อาหารค่ะ เพื่อความปลอดภัย เพราะเดี๋ยวน้องอาจกรูกันมาแล้วเอาขาเล็กๆมาโดนเราได้

 

 

จากคอกกวางเสือดาว มาเจออีกัวน่า หรือกิ้งก่ายักษ์ พนักงานบอกว่าจับมาถ่ายรูปได้นะ น้องเชื่อง แต่เราไม่กล้าค่ะ แอบกลัวนิดนึง

 

 

มาถ่ายกับเต่ายักษ์คาปิบาร่า ดีกว่า น้องเดินช้าดีค่ะ ไม่น่าจะทันเราแน่

 

 

จากเต่ายักษ์ มาถึงอัลปาก้า ที่พนักงานจะนำอาหารมาให้เรา แล้วให้เราเดินเข้าไปให้อาหารค่ะ น้องเชื่องมากๆ

 

 

จิ้งโจแคระ ค่ะคุณ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกับจิงโจ้แบบนี้ โดยที่ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ แค่ถืออาหารน้องก็วิ่งกรูกันมาเลยค่ะ จิงโจ้ต้องรวังนิดนึงเพราะเล็บน้องจิกแรงพอตัวอยู่

 

 

หนูยักษ์ ตกใจมากตัวใหญ่จริงๆ แถมน้องเชื่องสุดๆ เจ้าหน้าที่บอกน้องชอบให้เอามือลูบใต้ท้อง แล้วน้องจะเคลิ้ม ยืนนิ่งแบบนี้เลยค่ะ น่ารักมาก ขนฟูๆ

 

 

เลิฟมากสำหรับที่นี่  Alpaca hill สวนผึ้ง เป็นดินแดนแห่งคนชื่นชอบการถ่ายภาพและรักสัตว์ มาเที่ยวกับแบบครอบครัว พาเด็กน้อยมารู้จักสัตว์ต่างๆได้แบบใกล้ชิด เพราะน้องเฟรนด์ลี่มาก ค่อนข้างเชื่องและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว  ตอนแรกมาเพียงแค่อยากถ่ายรูปกับห่าน เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พิได้เข้าชมสวนสัตว์อยู่ยางกันไปเลยค่ะ เพราะสัตว์แปลกๆไม่เคยเห็นน่ารักมากเป็น 3 ชั่วโมง ที่สนุกเพลินดี ปักหมุดไว้ห้ามพลาดเลยสำหรับที่นี่

 

Alpaca hill สวนผึ้ง

เวลาเปิด-ปิด : 09.00-17.00  ฟาร์มเปิดทุกวัน

อัตราค่าบริการ: เริ่มต้น 290-/คน (ชมสวนสัตว์ ) , 390-/คน (9 ACTIVITIES), 500-/คน (12 ACTIVITIES)

โทร : 080 821 2108 , 081 145 9565

Facebook :  AlpacaHillThailand

 

ครัวม่อนไข่

หลังจากชมสวนสัตว์จนเพลิดเพลินกันไป เราแวะมาฝากท้องในมื้อบ่ายกันที่ ครัวม่อนไข่ ร้านนี้เป็นร้านประจำสุดเลิฟ  ที่ต้องทานทุกครั้งเมื่อมาเที่ยวสวนผึ้ง เป็นร้านขายอาหารที่เน้นเมนูแบบท้องถิ่น อาหารป่า และอาหารไทยต่างๆ รสชาติอร่อยทุกเมนู 

 

 

ร้านกว้างขวาง มีโต๊ะนั่งหลายโต๊ะ เมนูแนะนำมีหลายเมนูค่ะ เน้นไปที่เมนูปลาแม่น้ำต่างๆ รวมถึงเมนูผักกูด ผักพื้นถิ่น ทั้งผัด ยำ สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบ เราสั่งต้มยำปลาคลัง ยำผักกูด และปลาทับทิบสามรส อร่อยทุกอย่าง ต้มยำปลาคังรสชาติแซ่บมากซดร้อนดีสุดๆ ยำผักกูดรสชาติหวานนำแต่ความหวานที่อร่อย ปลาสามรส ทอดมาดีมาก ราดน้ำซอสเปรี้ยวหวานลงตัวสุดๆ มาสวนผึ้งแนะนำมากๆค่ะ แวะทานอาหารร้านนี้ คือ ดีย์ 

 

 

ครัวม่อนไข่

เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา  9:00 น.- 20:00 น. (ปิดวันพุธ)

โทร 086 173 5762

Facebook : Monkaikitchen

 

 

ชิราคาวาโกะ 

มาต่อกันที่ คาเฟ่น่ารัก มุมถ่ายรูปโดนใจ  ชิราคาวาโกะ คาเฟ่ตกแต่งในสไตล์หมู่บ้านชนบทของญี่ปุ่น หมู่บ้านชิราคาวาโกะ แค่เดินเข้ามาในร้านก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ ตุ๊กตาโทโทโร่ยักษ์ที่คอยตอนรับอยู่หน้าประตู และประดับภายในร้าน ที่นี่นอกจากเครื่องดื่ม เบเกอรี่แล้ว ยังมีอาหารญี่ปุ่น อาหารจานเดียวและของทานเล่นด้วย

 

 

ร้านตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับ สวนผึ้งออนเซน ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้ แต่ก่อนเข้าที่พักแะมาชิลที่คาเฟ่กันก่อนทางเข้าร้านเป็นทางเดินหินที่ระหว่างทางประดับด้วยต้นหญ้าและต้นไผ่ แค่ทางเข้าก็มีความเป็นญี่ปุ่นมาก ส่วนตัวร้านใหญ่เป็นแบบกระท่อมฟาง รายล้อมด้วยแปลงผัก ดอกไม้ บ่อน้ำ และตุ๊กตาโทโทโร่ ใครชื่นชอบความน่ารักของเจ้าโทโทโร่ต้องถูกใจแน่นอน

 

 

คาเฟ่มีทั้งหมด 2 ชั้น โซนที่นั่งมีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor เน้นเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่เกือบทั้งหมด ชั้นล่างเป็นห้องแอร์ พื้นที่จะแคบนิดนึง ตรงกลางจะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับสั่งเครื่องดื่มอาหาร ส่วนบริเวณโดยรอบแบ่งโซนเป็นที่นั่ง โดยตกแต่งเป็นแบบประตูเลื่อนเป็นห้อง และที่นั่งในแบบญี่ปุ่น ในแต่ละมุมตกแต่งได้น่ารักมุ้งมิ้งไปอีก

 

 

สั่งเครื่องดื่มอิตาเลี่ยนโซดา มาทานกับเค้กชาเขียว เครื่องดื่มและขนมของทางร้านรสชาติดีเลยทีเดียว

 

 

ส่วนพื้นที่ด้านนอกเป็นแบบเอาท์ดอร์ เปิดรับอากาศมีที่นั่งทั้งแบบเคาน์เตอร์บาร์น่ารักมองวิวทุ่งนาเล็กๆและสวนดอกไม้ ที่นั่งแบบเก้าอี้ชิงช้า 

 

 

ชั้นสองตกแต่งได้แบบน่ารักมาก ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่และหวายเช่นกันค่ะ แถมมีมุมนั่งเล่นเป็นเก้าอี้ติดกับหน้าต่างวงกลม ประดับด้วยดอกไม้ที่ทำด้วยผ้าขาวบาง ช่วยเพิ่มความอ่อนหวานไปอีก

 

 

ข้างในยังมีตั่งไม้ไผ่ กลางเพดานและหน้าต่างกะจก ประดับด้วยแจกันดอกหญ้า มีความน่ารักชวนฝัน นั่งถ่ายรูปตรงนี้ได้รูปสวยแน่นอน เป็นร้านที่บอกได้เลยว่า สามารถแชะภาพได้เกือบทุกมุม เพราะตกแต่งเพื่อเอาใจคนชอบถ่ายภาพโดยเฉพาะถ่ายรูปได้ตั้งแต่ทางเข้าร้าน ไปจนถึงชั้นสองเลยทีเดียวปังทุกมุม

 

 

ชิราคาวาโกะ คาเฟ่ สวนผึ้ง
เวลาทำการ : ตั้งแต่เวลา 09.00-19.30 น. (หยุดวันพุธ)

โทร : 096-836-4759
Facebook : ชิราคาวาโกะคาเฟ่

 

 

สวนผึ้ง ออนเซน

บ่ายสามโมง ได้เวลาเข้าที่พัก เราพักที่ สวนผึ้ง ออนเซน นอนแช่น้ำแร่ธรรมชาติในบ้านพักไม้ไผ่ตกแต่งสุดคิลท์ ฟุ้งฟิ้งชวนฝัน ในสไตล์ญี่ปุ่นผสมกับบาหลี พร้อมอ่างแช่ออนเซนให้แช่แบบส่วนตัวทุกห้อง

 

 

สวนผึ้ง ออนเซน เป็นบ้านพักที่ตั้งอยู่ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ สร้างด้วยไม่ไผ้ผสมผสานกับสไตล์บาหลีเกือบทุกหลัง บ้านพักมีทั้งหมด 10 หลัง ดีไซน์หลายแบบ ทั้งแบบกระท่อมทรงสามเหลี่ยม ได้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นมินิมอลนิดๆและทรงกลมแบบบาหลี รวมทั้งบ้านพักแบบโดมใส ที่ตั้งอยู่บนเนินมองเห็นวิวภูเขา ที่พักทุกหลังเป็นแบบห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทุกหลังมีอ่างแช่น้ำแร่ส่วนตัวทุกห้อง ราคาเริ่มต้นของที่พัก 2,500 บาท up สามารถจองห้องพักได้จากลิงค์จองห้องพักในเพจที่พักได้โดยตรง

 

 

พื้นที่ภายในที่พักค่อนข้างเป็นธรรมชาติและร่มรื่น มีลำธารเล็กๆเป็นร่องน้ำไหลผ่าน แถมยังมีลานแคมป์ปิ้ง สำหรับนั่งทานหมูกระทะ และดูหนังในจอยักษ์ได้อีกด้วย

 

 

บ้านหลังที่เราพัก ชื่อว่า  Sunshine Onsen hut แบบที่ 3 ราคา 2,990  บาท เป็นบ้านกระท่อมทรงสามเหลี่ยมตกแต่งแบบญี่ปุ่น มีความเป็นมินิมอล ภายในห้องพักตกแต่งน่ารักมาก ทั้งที่นอน หมอนอิง ผ้าม่าน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีความมุ้งมิ้งเป็นที่สุด โดยเฉพาะแจกันใส่ดอกหญ้าที่วางเกือบทุกจุดภายในห้อง สามารถยกมาวางถ่ายภาพใกล้กับอ่างแช่น้ำได้

 

 

ในห้องมีเพดานและกระจกใส บนเพดานประดับด้วยหลอดไฟเล็กเพิ่มความโรแมนติกในยามค่ำ มีอ่างแช่น้ำแร่ทรงกลมติดกระจก สามารถชมวิวได้จากในห้องพัก ส่วนห้องน้ำอยู่ติดกับอ่างอาบแช่น้ำ ส่วนโฟมบาธทางที่พักไม่มีให้แต่มีขายในราคา 150 บาท แนะนำให้เตรียมมาเองค่ะ

 

 

น้ำที่ใช้แช่ในอ่างมีน้ำแร่ด้วย ซึ่งเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติที่ต่อมาโดยตรง หลายคนอาจไม่ทราบว่า สวนผึ้ง มีธารน้ำแร่ด้วย อย่างสถานที่ท่องเที่ยวยังมี ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ที่สามารถลงแช่น้ำได้ แช่ไปจะได้ความรู้สึกอุ่นๆและมีความผ่อนคลายจากน้ำแร่ที่ลงไปแช่ด้วย

 

 

ยามค่ำเปิดไฟตรงเพดานสักหน่อย ทางที่พักมีเสื้อคลุมแบบญี่ปุ่นให้ใส่ด้วย เอาชุดคลุมมาใส่ต่อ อ่างเดียวถ่ายรูปได้ทั้งวัน

 

 

มาพักสวนผึ้ง ออนเช็น แนะนำให้ตื่นเช้า มารับอากาศบริสุทธิ์ เดินชมบรรยากาศรอบที่พัก มองเห็นวิวภูเขาฟังเสียงนกร้องพร้อมไปกับการทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นแบบบุฟเฟต์ มีทั้งอเมริกันเบรคฟาสต์ ข้าวต้ม สลัด ผัดซีอิ้ว ข้าว ชากาแฟ น้ำส้ม ผงไม้ นั่งทานไปฟังเสียงนกร้องไปด้วย ได้ฟีลสุดๆ เป็นที่พักที่ค่อนข้างเงียบสงบ สะดวกสบาย และเป็นส่วนตัว แถมยังมีคาเฟ่น่ารักๆตกแต่แบบญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน ชื่อ ชิราคาวาโกะ สามารถแวะไปสั่งเครื่องดื่ม อาหารทานได้ด้วย

 

 

สวนผึ้ง ออนเซน

ที่ตั้ง : ถ.ห้วยผาก-บ่อหวี ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

โทร : 098 009 0986

Facebook : สวนผึ้งออนเซน

 

วันที่สอง 

 

หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส

วันที่สองก่อนกลับเราแวะไปที่  หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส หมู่บ้านเล็กๆสุดชายแดนตะวันตกแห่งอำเภอสวนผึ้ง เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยเชื้อสายมอญที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ด้วยพื้นที่ของหมู่บ้านตั้งอยู่ติดเทือกเขาตะนาวศรี ทำให้มีความเป็นธรรมชาติ ร่มรื่นด้วยผืนป่าเขียวขจี มีลำธารใสไหลผ่าน จนได้รับการขนานนามว่า หมู่บ้านแม่กำปอง 2  เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ จะรู้สึกสุขใจไปกับบรรยากาศ ความเงียบสงบ ตลอดเส้นทางมีบ้านเรือนของชาวบ้าน ที่ยังคงความเรียบง่าย ในแต่ละมุมของหมู่บ้านมีความน่ารัก แถมยังมีตลาดชุมชนที่ชาวบ้านนำอาหารแบบพื้นบ้านมาวางขาย มีกิจกรรมตักบาตรมอญซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของหมู่บ้าน ทำให้คนที่มีใจรักธรรมชาติใจเต้นรัวไม่เบา เพราะไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพแบบนี้ ที่ สวนผึ้ง ราชบุรี ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพ

 

 

หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส ตั้งอยู่สุดชายแดนติดกับประเทศพม่า โดยมีเทือกเขาตระนาวศรีเป็นแนวกั้นเขต ซึ่งพื้นที่ในบริเวณนี้ยังคงมีความเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มองเห็นภูเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน  มาเที่ยวในช่วงฤดูฝนยิ่งชุ่มชื่น เป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของการท่องเที่ยวสวนผึ้ง ที่เราไม่เคยขับรถมาถึงตรงจุดนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเที่ยวอยู่ตัวอำเภอสวนผึ้ง ระหว่างทางไปหมู่บ้านจะได้เพลิดเพลินไปกับวิวที่สวยงาม

 

 

เมื่อใกล้มาถึงหมู่บ้าน จะผ่านสำนักสงฆ์ห้วยน้ำใส ซึ่งอยู่ด้านหน้า สามารถแวะไหว้พระตอนกลับจากเที่ยวในหมู่บ้านแล้ว ผ่านสำนักสงฆ์เข้าสู่ตัวหมู่บ้าน จะเจอกับร้านค้าเล็กๆเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ขายของที่ระลึก เป็นจุดจอดรถของนักท่องเที่ยว ซึ่งในวันเสาร์อาทิตย์ที่นักท่องเที่ยวเยอะ จะต้องจอดรถตรงจุดนี้แล้วเดินเข้าไป เพราะถนนในหมู่บ้านแคบมาก หรือถ้าใครไม่อยากเดิมีรถสองแถวให้บริการคนละ  10 บาท  เนื่องจากมาเที่ยวในวันธรรมดาตลาดปิด ไม่มีนักท่องเที่ยวจึงสามารถขับรถเข้าไปภายในหมู่บ้านได้ และเราก็ชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะรู้สึกว่าได้มาสัมผัสถึงความเป็นชุมชนและบรรยากาศที่แท้จริง

 

 

บริเวณหน้าซุ้มประตู​ยังเป็นที่ตั้งของศาลอันศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ชื่อว่า ศาลหลวงปู่เหมราช เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในหมู่บ้าน และมีความเชื่อว่าขออะไรก็จะสมหวัง บริเวณศาลหลวงมีจุดให้ทำบุญและเขียนขอพรบนแผ่นไม้ไผ่ จากนั้นนำไปแขวนไว้บริเวณกำแพงจนกลายเป็นมุมถ่ายรูปสวยแปลกตาอีกจุดหนึ่ง หากขอพรแล้วสมหวังต้องกลับมาแก้บนนะคะ

 

 

ถนนสองข้างทางมีร้านค้าขายผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ชุดชาวมอญ ร้านอาหาร และร้านชา กาแฟ  บ้านห้วยน้ำใส เหมือนแม่กำปอง ตรงมีลำธารเล็กไหลผ่าน มีความเป็นธรรมชาติ ความเขียวขจี แอบมีความชิคเบาๆ แต่เป็นแม่กำปองในเวอร์ชั่นออรินัลสมัยแรกเริ่ม ที่ยังไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเมากมายเหมือนปัจจุบัน  ในขณะเดียวกันด้วยชาวบ้านเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ วัฒนธรรมการแต่งการ ภาษาพูด ยังคงมีความเป็นแบบมอญอยู่มาก ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ คล้ายกับหมู่บ้านมอญ สังขละบุรีมากกว่า  

 

 

ขับรถไปจนสุดทางจะเจอกับอีกหนึ่งมุมไฮไลท์ กำแพงรั้วไม้ไผ่ทอดยาวไปจนถึงตัวตลาด บริเวณนี้มีการตกแต่งด้วยจักรยาน 2 คัน ให้โพสต์ท่าถ่ายรูปเก๋ๆ บรรยากาศตรงนี้เรารู้สึกว่าเหมือนแม่กำปองมาก สุดทางของหมู่บ้าน จะเจอกับเดินไม้ไผ่ คือ ที่ตั้งของตลาดมอญบ้านห้วยน้ำใส โดยชาวบ้านนำของมาตั้งขาย ตั้งแต่สินค้าพื้นบ้าน ของกินอาหาร ของที่ระลึก แต่เนื่องจากไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์ ก็จะเงียบแบบในภาพ

 

 

ติดกับตลาด คือ ร้านกาแฟและที่พักชื่อดังแห่งบ้านห้วยน้ำใส Coffee MAT at Shade of green ที่ตกแต่งได้น่ารักและมีความกลมกลืนไปกับธรรมชาติมาก ใช้เฟอร์นิเจอร์หวายและไม้ไผ่มาผสมตกแต่งได้อย่างลงตัว บรรยากาศสบาย เงียบสงบ เหมือนร้านกาแฟบนดอยมากๆ แต่ละมุมของโต๊ะที่ดีไปหมด บรรยากาศสบาย ติดริมธารใส เหมือนกำลังนั่งเล่นอยู่ในบ้านของตัวเอง และพี่เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมากดูแล พูดคุย อย่างสนุกสนาน นั่งคุยกันจนติดลมไปเลย

 

 

ร้านอยู่ติดลำธาร สามารถลงไปเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณลำธารได้เลย หรือจะนั่งจิบเครื่องดื่มฟังเสียงลำธารก็ได้ มีโต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อย ฟินไปอีก บรรยากาศฮีลใจขั้นสุด ไม่คิดว่าจะมาเจอความรู้สึกแบบนี้ที่บ้านห้วยน้ำใส ดีมากจริงๆ 

 

 

นอกจากร้านกาแฟ ยังมีที่พักสวยโอบล้อมด้วยธรรมชาติ ซึ่งมีที่พักจำนวน 2 หลัง แต่หลังไฮไลท์ คือ บ้านสายน้ำ พักได้สองท่าน ทราบมาว่าวันเสาร์ อาทิตย์ เต็มยาวถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าไปแล้ว ส่วนวันธรรมดายังมีว่างอยู่บ้าง บ้านหลังใหญ่มาก มีบ่อปลาคราฟและสระบัวอยู่หน้าบ้าน มีมุมพักผ่อนมากมายรอบบ้าน แค่อยู่ในบ้านพัก ไม่ต้องออกไปไหนก็ได้ เต็มอิ่มกับธรรมชาติได้แบบเต็มที่

ใครอยากมาพักผ่อนที่นี่ สามารถติดต่อได้ในเพจของที่พัก  ShadeofGreenResort

โทร: 061-9539366 ,062-6636623 , 080-5691122

Line id : shadeofgreen
 

 

หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส

ที่อยู่ : หมู่ที่ 3 ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

เปิดให้บริการ  : ทุกวันเสาร์ อาทิตย์  08.00 น. -16.00 น. ส่วนวันธรรมดาไม่มีตลาด แต่สามารถมาเดินเล่นชมบรรยากาศในหมูบ้านได้

กิจกรรมตักบาตรของชาวมอญ มีเฉพาะวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป 

 

หลังจากเที่ยวชมหมู่บ้านแล้ว สามารถแวะมาทำบุญไหว้พระที่ สำนักสงฆ์ห้วยน้ำใส ตั้งอยู่บริเณทางเข้าหมู่บ้าน ที่สำนักสงฆ์ สร้างด้ยศิลปะที่สวยงามแบบพม่า มีทั้งพระพุทธรูป เจดียพระธาตุนพเก้า และที่โดดเด่น คือ พระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ตั้งอยู่บนเนินเขามองเห็นวิวภูเขาสีเขียวที่เรียงรายสวยงาม เป็นอีกภาพสุดอเมซิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น จึงไม่ไม่แปลกใจว่า ทำไม บ้านห้วยน้ำใส จึงอากาศดีและยังคงมีความเป็นธรรมชาติมาก ดูได้ภาพจากป่าและภูเขาที่เห็นมีความอุดสมบูรณ์บริสุทธิ์แบบอัดแน่นมาก  เป็นการเปิดโลกของการเที่ยวสวนผึ้ง ในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ ซีนนารี่ ฟาร์มแกะ สวนเลม่อน อัลปาก้าฮิลท์ หมู่บ้านมอญห้วยน้ำใส สถานที่โดนใจของคนรักธรรมชาติและวิถีชีวิตอันแสนน่ารัก

 

 

ผู้เขียน

นักเดินทางที่ชอบถ่ายภาพ อยากส่งต่อเรื่องราวของการท่องเที่ยว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

บทความที่เกี่ยวข้อง