สมุทรปราการ หรือที่เรามักเรียกติดปากกันว่า เมืองปากน้ำ จังหวัดนี้เรียกว่าเกือบจะเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพ เพราะใกล้กันมาก ใกล้กันจนเรามองข้าม ซึ่งส่วนใหญ่จะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ เวลานึกจะเที่ยวที่นี่ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง แว่บเข้ามาทันที ต่อด้วยเมืองโบราณ และจบด้วยไปดูนกและหาอะไรอร่อยทางที่สถานตากอากาศบางปู เป็นโปรแกรมเดิมๆ ที่เรามักนึกถึงอยู่บ่อย แต่ครั้งนี้ลองเปลี่ยนแผนไปแถวอำเภอพระสมุทรเจดีย์เชื่อมด้วยบางพลีกันบ้างเพราะเส้นนี้ก็มีสถานที่สำคัญของจังหวัดให้เที่ยวเยอะ เที่ยวได้ครบใน 1 วัน
10.00 น. วัดพระสมุทรเจดีย์ ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมือง
ด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพ มาถึงอำเภอพระสมุทรเจดีย์ สถานที่สำคัญอันดับแรกที่เราแวะชื่อเดียวกับอำเภอ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองปากน้ำ คือ วัดพระสมุทรเจดีย์ หรือพระเจดีย์กลางน้ำ ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมือง สิ่งที่โดดเด่นคือ องค์เจดีย์สีขาวที่ปลายยอดคาดด้วยผ้าสีแดงตัดกับสีขาว ผู้คนทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า พระเจดีย์กลางน้ำ เนื่องจากเดิม บริเวณที่ก่อสร้างพระสมุทรเจดีย์เป็นเกาะที่มีน้ำล้อมรอบ ต่อมาชายตลิ่งฝั่งขวาของแม่น้ำตื้นเขินงอกออกมา เชื่อมติดกับเกาะอันเป็นที่ตั้งพระเจดีย์
ใกล้กับองค์พระเจดีย์ คือ วิหารหลวง ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในวิหารเป็นที่ประเษฐานพระปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระประจำ พระชนมพรรษา ของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระปฏิมาชัยวัฒน์ เป็นพระพุทธรูปประจำวิหาร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้บูชา
ด้านหลังเป็นลานกว้างสำหรับนั่งเล่นมองวิวริมน้ำ ซึ่งเรามาเที่ยวในช่วงฤดูแล้ง น้ำค่อนข้างแห้งพอสมควร
11.00 น. ป้อมพระจุลจอมเกล้า พิพิธภัณฑ์เรือรบหลวงแม่กลอง
ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก วัดพระสมุทรเจดีย์ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 20 นาที สำหรับเส้นทางไม่ต้องห่วงว่าจะไปไม่ถูกเพราะมีป้ายบอกตลอด หรือถ้าไม่ชัวร์ใช้ Google map นำทางได้ ตรงและแม่นยำ สำหรับป้อมพระจุลตั้งอยู่ภายในค่ายทหารเรือ เปิดให้เข้าฟรีโดยก่อนเข้าเราต้องแลกบัตรประชาชนด้านหน้า สถานที่สำคัญที่เราอยากแวะคือ พิพิธภัณฑ์เรือรบหลวงแม่กลอง ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล ติดกับสโมสรท้ายเรือแม่กลองซึ่งเป็นร้านอาหาร หากเข้ามาภายในค่ายทหารแล้วขับรถมาตามเส้นทางเดียวกับสโมสรท้ายเรือได้เลย มีป้ายบอกเช่นกัน เห็นเรือหลวงแม่กลองครั้งแรก ก็ตะลึงในความยิ่งใหญ่อลังการ เรือหลวงแม่กลองเป็นเรือรบที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และเป็นเรือรบที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก หลังจากใช้งานเป็นเวลานานเกือบ 60 ปี จึงเห็นสมควรที่จะ ปลดประจำการ เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม 2539 ตามพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมี พระราชดำริว่า “กองทัพเรือควรจะอนุรักษ์ เรือรบเก่าไว้” ในที่สุดเรือก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้ โดยปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชม
ส่วนหัวของเรือมีตราครุตที่โดดเด่นและสง่างามติดอยู่ การติดรูปครุฑที่หัวเรือรบของ ราชนาวีไทย เป็นการปฏิบัติตามประเพณีนิยมของชาวเรือ ตามความเชื่อที่ว่าเรือรบเป็นพาหนะแห่งอำนาจของชาติ ที่ไปปรากฏยังน่านน้ำต่างๆ เช่นเดียวกับพระครุฑพ่าห์ของพระนารายณ์ ดังนั้นเรือรบไทยจึงได้ติดรูปครุฑไว้ที่หัวเรือ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงอำนาจของชาติไทยไว้ด้วย
บนเรือมีร้านขายของที่ระลึกด้วย ช่วยกันอุดหนุนกันค่ะ ถือว่าเป็นรายได้บำรุงการเข้าชม
ส่วนนี้น่าจะเป็น เรือลำเลียง ไว้ใช้ยามมีเหตุฉุกเฉิน
ภายในเรือแบ่งเป็นห้องต่างๆ ที่สำคัญ อย่างเช่นห้องกัปตันเดินเรือ
ห้องประชุมหรือห้องเรียน
ห้องครัว ห้องนี้น่าทึ่งมาก ไม่คิดว่าบนเรือรบจะมีห้องครัวที่ใหญ่ขนาดนี้ เข้าตำราที่ว่า กงอทัพต้องเดินด้วยท้อง สังเกตุได้จากหม้อข่าว ใหญ่มาก มีประมาณ 2 หม้อ เลี้ยงคนได้ทั้งกองทัพ
15.00 น. ไหว้หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ เดินเล่นตลาดโบราณบางพลี
บ่ายแก่ๆ เราเดินทางต่อไปยังอำเภอบางพลี ซึ่งอำเภอนี้ตั้งอยู่เกือบใกล้กับกรุงเทพแล้วค่ะ จากอำเภอพระสมุทรเจดีย์ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง เราแวะมาที่วัดบางพลีใหญ่ เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ อำเภอบางพลี เพราะเป็นวัดที่ใช้ประดิษฐานหลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัยและเป็นหนึ่งในพระสามพี่น้อง
ข้างพระอุโบสถหลวงพ่อโต มีรูปหล่อจำลองหลวงพ่อวัดดังมากมายให้สักการะกัน เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ หรือจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีให้บูชามากมาย เช่น บูชาราหูล เจ้าแม่กวนอิม หมอชีวกโกมารภัจจ์ ศาลพระพรหม ตลอดจนการทำสังฆทาน
ไหว้หลวงพ่อโตแล้ว ข้างวัดเป็นที่ตั้งของตลาดโบราณบางพลี ตลาดเก่าแก่ริมน้ำที่ขนานไปกับสองฝั่งคลอง ตลาด เปิดทุกวัน แต่เสาร์ อาทิตย์ จะคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมาเที่ยววันธรรมดา ตลาดอาจดูเงียบเหงา ร้านค้าบางร้านอาจปิดไปบ้าง
ภายในตลาดเป็นห้องแถวบ้านเรือนไม้โบราณคล้ายกับคลองสวน ของแปดริ้ว เดินแล้วก็ให้อารมณ์ย้อนยุค เพราะตลาดแห่งนี้อายุประมาณกว่า 150 ปี ที่นี่เป็นตลาดเล็กๆ ไม่กว้างมากระยะทางประมาณ 1 กิโลกว่า โดยส่วนตัวชอบค่ะเพราะถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่กว้างมาก แต่ทุกก้าวที่เราได้เดินชมตลาดให้ความรู้สึกถึงความดั้งเดิมของบ้านเรือนไม้เก่าแก่ที่แทบไม่ได้ปรุงแต่ง เป็นคนท้องที่ขายของจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั่งอยู่ภายในบ้านและขายของ ข้าวของที่ขายส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าข้าวของเครื่องใช้แบบท้องถิ่นดั้งเดิม โดยเฉพาะร้านขายเครื่องสังฆทานจะมีมากเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดกับวัด
ส่วนอาหาร มีของกินมากมายทั้งคาวหวาน รวมถึงร้านอาหารโดยเฉพาะร้านก๋วยเตี๋ยวที่มี่ให้เห็นตลอดทาง
สมุทรปราการ จังหวัดที่เรารู้สึกว่าเที่ยวแล้วได้อารมณ์แห่งความชิล ด้วยความที่เป็นเมืองติดทะเลและแม่น้ำทำให้เรารู้สึกได้ผ่อนคลาย ได้ชมเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่น่ารื่นรมย์ ได้ไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคล วันเดียวเที่ยวสมุทรปราการ เที่ยวง่าย ใกล้นิดเดียว
Tags : วันเดี่ยวเที่ยวสมุทรปราการ, สมุทรปราการ, เที่ยวสมุทรปราการ 1วัน