“ นั่งถ่ายภาพห้อยขาที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า” น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งรถผ่านโค้งมาพันกว่าโค้งเพื่อเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศที่ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนบ้านจ่าโบ่ หรือมักเรียกกันสั้นๆว่า บ้านจ่าโบ่ ซึ่งเป็นชุมชนชาวเขาที่ตั้งอยู่ใน อ. ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ที่นี่นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้วยังมีวิถีชีวิตชนเผ่าที่น่าสนใจและน่ามาเรียนรู้ มาทำความรู้จักและกล่าวคำทักทายว่า A-Bo-Da-ya (อาบูดะยา) ซึ่งเป็นภาษาของชาวลาหู่หรือมูเซอ ที่แปลว่า สวัสดี
ชุมชนบ้านจ่าโบ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างปาย ใช้เวลาเดินทางจากปายประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า การเดินทางจากปายไปยัง อ.ปางมะผ้า จากนั้นขับตรงไปอีก 12 กิโลเมตร เจอแยกบ้านแม่ระนาเข้าไปยังหมู่บ้านขับรถตรงไปอีก 4 กิโลเมตร เส้นทางทำใหม่ราดยางตลอดทาง สำหรับใครที่ไม่มีรถส่วนตัวก็ต้องอาศัยนั่ง รถตู้ปาย -เมืองแม่ฮ่องสอน หรือนั่งรถแดงโดยสารมาลงหน้าปากทางเข้าหลังจากนั้นอาจโบกรถหรือนัดแนะกับรถในหมู่บ้านให้มารับ เมื่อมาถึงหมู่บ้านเราก็จะได้เจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่ เพราะนอกจากจะมีก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยในราคาหลักสิบให้ได้ทานแล้ว มองไปรอบๆ จะเห็นว่าตั้งอยู่ในมุมที่เหมาะเจาะมองเห็นภูเขาที่สวยงามสลับซับซ้อน และในเวลาเช้าร้านนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารอชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น
เรามาถึงประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งเวลานี้ก๋วยเตี๋ยวขายหมดแล้ว แต่ร้านยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพและนั่งเล่นได้ตลอดกับมุมถ่ายภาพนั่งห้อยขายอดฮิตที่ทุกคนต้องมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
ถึงเวลาเช็คอินเข้าสู่ที่พักเราได้ติดต่อจองโฮมสเตย์ไว้ล่วงหน้ากับผู้ดูแลชุมชน นั่นก็คือ คุณศรชัย ซึ่งติดต่อประสานงานและพูดจาสุภาพไพเราะมากค่ะ สำหรับการเข้าพักควรจองล่วงหน้า เพราะหากเข้ามาหาที่พักหน้างานแบบดุ่มๆ บอกเลยในช่วงไฮหน้าหนาวนักท่องเที่ยวเข้าพักเต็มตลอด สำหรับราคาที่พักคิดราคาคนละ 200 บาท อาหารมื้อละ 100 บาท/คน และสำหรับการไปชมกิจกรรมต่างๆเช่น จักสาน หรือทอผ้าก็จะคิดราคาเพิ่ม
ที่พักต้องบอกเลยว่าเป็นโฮมสเตย์ที่อยู่ร่วมกับชาวบ้านจริงๆ คือ กินนอนหลังเดียวกับเจ้าของบ้าน ซึ่งแล้วแต่ว่าเค้าจะจัดให้เราพักหลังไหน เราได้พักหลังนี้กับอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน ภายในห้องพักปูที่นอนมีผ้าห่ม มุ้ง เตรียมไว้ให้พร้อม ภาพแรกที่เราเห็นถึงแม้ว่าจะผ่านการพักโฮมสเตย์มาเยอะ ก็แอบอุทานในใจเบาๆ อุ๊บส์ จะสะอาดมั้ย เพราะต้องเรียกว่า เป็นบ้านของชาวเขาไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรทั้งสิ้น แต่สุดท้ายแล้วอย่าตัดสินอะไรเพียงแค่ตาเห็นต้องมาสัมผัสเอง เห็นบ้านเรียบๆง่ายๆ เป็นกระต๊อบแบบนี้ แต่สะอาดมากพื้นเกลี้ยงไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย รวมถึงเครื่องนอนต่างๆ ก็ไม่มีกลิ่นอับอะไรเลย คือ ดีงามมาก ส่วนห้องน้ำอยู่นอกบ้านทุกหลังเป็นวิธีการสร้างบ้านของเค้าที่จะไม่สร้างห้องน้ำไว้ในบ้านเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพักหลังไหนก็ไม่มีห้องน้ำส่วนตัวแต่ห้องน้ำสะอาด และไม่มีน้ำอุ่นอะไรทั้งสิ้น ตักอาบแบบเย็นๆกันเลย มีไฟให้ใช้ตลอดทั้งวันตามปกติ โทรศัพท์มือถือมีสัญญาณทุกค่าย แต่ AIS จะแรงเป็นพิเศษค่ะ ซึ่งสุดท้ายแล้วในความเรียบง่ายที่หลายคนอาจมองว่าลำบากไม่สะดวกสบายแต่เราก็อยู่ได้แบบสบายมาก ชอบบรรยากาศในหมู่บ้านด้วยซ้ำไปค่ะ
บรรยากาศภายในหมู่บ้านทั้งสองฝั่งถนนขนาบไปด้วยบ้านเรือนไม้แบบชาวเขาดั้งเดิม ชาวบ้านในชุมชนบ้านจ่าโบ่ที่อยู่ในปัจจุบันเป็นชาวลาหู่ที่ย้ายมาจากห้วยยาวโดยการนำของนายจาโบ่ ไพรเนติธรรม ชื่อของ ชุมชนจ่าโบ่มาจากชื่อของผู้นำหมู่บ้าน คนในชุมชนล้วนเกี่ยวดองเป็นญาติกันทั้งหมด ยังคงใช้ภาษาและเครื่องแต่งกายแบบลาหู่ ซึ่ง แบ่งออกเป็น 3 ชาติพันธุ์ย่อย คือ มูเซอดำ มูเซอแดงและมูเซอเหลือง แตกต่างกันตามความเชื่อ และการแต่งกาย ชุมชนบ้านจ่าโบ่ คือเชื้อสายมูเซอดำ ซึ่งชาวมูเซอดำจะใช้คำเรียกว่า “จ่า” คำนำหน้าเพศชาย ส่วน “นา” จะเป็นคำเรียกผู้หญิง อาชีพหลักของคนในชุมชน คือทำไร่และเลี้ยงสัตว์ อาชีพรอง คือเก็บของป่าขาย และรับจ้างทั่วไป
บ้านจ่าโบ่ ชุมชนเล็กๆที่แฝงไว้ด้วยมิตรไมตรีเครื่องแต่งกายใช้สีดำเป็นหลักซึ่งเป็นสีที่สำคัญของชาวชนเผ่า ตามความเชื่อถือว่า สีดำเป็นสีศักดิ์สิทธิ์ สีดำ หมายถึง ตัวตน สีขาว หมายถึง ลำธารน้ำ สีเหลือง หมายถึง ข้าวปุ๊ก(ข้าวโพดต เป็นอาหารชนิดนึง) สีแดง หมายถึง เลือดหมู สีฟ้า หมายถึง ถั่ว พืชพรรณ ดังนั้นเสื้อชนเผ่าแต่ละตัวจะมีความหมายแตกต่างกันไปตามความเชื่อของผู้เย็บที่เลือกใช้สีต่างๆ เล่ามายาวมาก ทำให้เรารู้สึกว่า บ้านจ่าโบ่ ไม่ได้มีของดีแค่ทะเลหมอกแต่ที่นี่ยังคงมีความน่ารักของชาวเขา เดินเล่นชมหมู่บ้านก็จะได้เห็นความเป็นอยู่ที่แสนจะเรียบง่ายและสงบกันเอง ในขณะเดียวกันรอยยิ้มและคำทักทายอย่างเป็นมิตร คือ สิ่งที่เราได้สัมผัสจากชาวบ้านที่นี่
หากเราสังเกตตามบ้านแต่ละหลังจะมีเจ้าเครื่องจักสานแบบเดียวกันแขวนไว้ที่ประตูทางเข้าทุกบ้าน เป็นเหมือนเครื่องรางอะไรซักอย่าง สอบถามมาได้ความว่า อันนี้คือเครื่องกันผีและสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้าน คงเหมือนกับที่เราแขวนผ้ายันต์ไว้หน้าบ้านนั่นเอง
บ้านหลังนี้น่าจะเปิดให้พักแบบโฮมสเตย์เช่นกัน หน้าบ้านมีเด็กน้อยกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเล่นหินเล่นทรายอยู่คนเดียว
แตกต่างกับบ้านหลังนี้ ซึ่งเห็นป้ายเขียนไว้ข้างหน้าว่า เป็นที่ทำการเยาวชน ก็เลยเป็นเสมือนแหล่งรวมเยาวชนทุกรุ่น เล่นและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ส่วนกลุ่มนี้ก็ตักน้ำจากบ่อแล้วมาใส่ในปืนฉีดน้ำยิงใส่เพื่อนอย่างเมามันส์มาก
ในหมู่บ้านมีร้านขายของชำอยู่ 2 ร้าน
อีกร้านหนึ่งเปิดเป็นที่พักโฮมสเตย์ด้วย บ้านพักอยู่ด้านหลังร้าน มี 2 ห้อง พักได้ห้องละ 2 คน ราคา 400 บาท มีระเบียงและที่นั่งชมวิวจากบ้านพักได้เลยค่ะ เช้าๆ ก็เห็นทะเลหมอกได้จากหน้าบ้าน ใครสนใจสามารถโทรติดต่อได้ที่พี่อยู่ เจ้าของร้าน โทร 085 038 6824
ส่วนภาพนี้พี่อยู่ให้เราดูค่ะว่าบรรยากาศของภาพทะเลหมอกหน้าบ้านพักถ่ายจากมือถือเป็นแบบนี้ เห็นแล้วสวยมากเลยขอภาพพี่เค้านำมาลงให้ชมกันเพื่อเป็นข้อมูล วิวจะคล้ายกับที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แต่จะเยื้องออกมาซักหน่อยค่ะ
เดินชมบรรยากาศของหมู่บ้านไปเรื่อยๆ มาช่วงเดือน ธ.ค. ยังมีดอกบัวตองให้ชมอยู่ตามริมถนน แต่บางส่วนก็เริ่มโรยราไปแล้ว
วิถีชีวิตยามใกล้พลบค่ำ เราถามน้องเค้าว่า แบกอะไรกันค่ะ เค้าบอกว่าเป็นอาหารหมูค่ะ จะเอาไปให้หมูกิน ที่นี่เลี้ยงหมูดำเยอะมากค่ะ ตามความเชื่อว่า สีดำ คือ สีนำโชค หมูก็ต้องเป็นหมูดำ ไก่ก็เลี้ยงไก่ดำ
บ้านจ่าโบ่ตั้งอยู่บนเขาสูงประมาณ 900 ม. บริเวณโดยรอบของหมู่บ้านเป็นเทือกเขาหินปูน บรรยากาศธรรมชาติสุดๆไปเลยค่ะ หมู่บ้านในวงล้อมของหุบเขา
หกโมงครึ่ง คือเวลานัดหมายสำหรับอาหารมื้อเย็น เป็นอาหารสุดพิเศษที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้พวกเรา คือ ชอบมากเวลาได้กินอาหารพื้นบ้านจากฝีมือชาวบ้านแบบนี้ มีปลาทอด ไข่เจียว ผัดฟักทอง ต้มจืดยอดฟักทองที่เก็บสดๆจากรั้วบ้าน ข้าวหุงโดยใช้ฟืนหอมมาก และน้ำพริกของบ้านจ่าโบ่อร่อยมาก เค้าบอกว่าถ้ามาถึงบ้านจ่าโบ่แล้วไม่ได้กินน้ำพริกนี่ถือว่าพลาดค่ะ ซึ่งตามธรรมเนียมของชาวละหู่ ต้องให้แขกผู้มาเยือนทานข้าวจนอิ่มก่อน จากนั้นเจ้าของบ้านถึงจะกินข้าวได้
แอบเข้าไปดูในครัวซักหน่อยหลังจากช่วยที่บ้านทำอาหารให้พวกเราทานแล้ว น้องก็กำลังปิ้งปลาไว้สำหรับมื้อเย็นของครอบครัวในวันนี้ อาหารทุกอย่างไม่มีเตาแก๊สใช้ฟืนล้วนๆ ดั้งเดิมมาก
เช้าวันใหม่ประมาณ 6 โมงครึ่ง เราเดินจากบ้านพักเพื่อมายังร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เพื่อเฝ้ารอดูทะเลหมอกร้านเปิดตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ อยากสั่งก๋วยเตี๋ยวทานก็มานั่งทานรอได้เลย เนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้างปิด และไม่หนาวจัดมาก ทะเลหมอกในเช้าวันนี้เลยยังไม่มาให้เราได้เห็นแบบฟูฟ่องใกล้ชิดเท่าไหร่ แต่มาแบบลอยคลอเคลียตามไหล่เขาแทน สำหรับเราได้เห็นแค่นี้ก็ดีใจมากแล้วเพราะตั้งแต่มาทราบมาว่าได้รับอิทธิพลจากพายุ จึงทำให้มีฝนตกและสภาพอากาศครึ้มพอสมควร ตอนแรกทำใจไว้ด้วยซ้ำว่าไม่น่าจะเห็นหมอก เพราะชาวบ้านบอกว่าไม่มีหมอกมา 3 วันแล้ว
ยังคงเฝ้ารอพระอาทิตย์และเฝ้ารอต่อไป นอกจากนั่งกันภายในร้านแล้ว ข้างนอกก็มีที่นั่งชมหมอกตรงริมทางเดินด้วย
ระหว่างรอก็สั่งก๋วยเตี๋ยวร้อนๆมาทาน ชามละ 30 บาท ถ้าต้มยำก็ 35 บาท กินเตี๋ยวไปชมวิวไป ฟินสุด
นั่งทานก๋วยเตี๋ยวไปซักพัก ก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจ พระอาทิตย์มาแล้วจ้า เป็นอะไรที่ไม่ได้คาดหวังแล้วด้วยซ้ำ เพราะแค่ได้มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ชมวิวภูเขาและสายหมอกบางที่มาให้เห็นแบบนิดหน่อยก็ดีมากแล้ว
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง บรรยากาศแห่งความอึมครึมมืดครึ้มก็หายไป เปลี่ยนมาเป็นบรรยากาศที่สดใสและอบอุ่นมาแทนที่ แสงอาทิตย์ส่องมากระทบสายหมอกเบาๆ เป็นความงดงามในแบบที่ไม่ต้องมีหมอกมากมายอะไรได้เห็นทิวเขาที่สลับกันอยู่เบื้องหน้าสวยดั่งภาพวาด
สมกับที่เฝ้ารอตั้งแต่เช้ามาจนถึงเวลานี้ก็เกือบ 2 ชั่วโมงพอดี
บรรยากาศของการทานก๋วยเตี๋ยวเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย เราถามน้องเจ้าของร้านว่าขายจนถึงกี่โมง เค้าบอกว่านับ 4 หม้อ ถ้าน้ำหมดเค้าก็ปิดร้านค่ะ ไม่ได้มีให้ทานทั้งวัน เพราะถ้ามาช่วงบ่ายๆ ก็น่าจะหมดแล้ว
บรรยากาศภายในร้านยามอาทิตย์ส่อง
หลังจากนั่งไปซักพัก ในขณะที่นักท่องเที่ยวคนอื่นเริ่มทยอยกลับไปหมดแล้วเพราะหมอกเริ่มน้อยลง สิ่งที่เราไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นก็มาสร้างความตื่นตา ตื่นใจให้กับเรา อีกแล้ว นั่นก็คือ แสงอาทิตย์ลอดมาจากก้อนเมฆ ซึ่งเรามักเรียกว่า แสงสวรรค์ ถ้าให้เราเลือกระหว่างเจอทะเลหมอกกับแสงแบบนี้ เราเลือกจะเจอแสงเพราะทะเลหมอกสวยเจอมาเยอะแล้ว น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นแสงสวรรค์แบบชัดเจน และแสงแบบนี้จะมีโอกาสเห็นต่อเมื่อมีเมฆมากเท่านั้นค่ะ ถ้าฟ้าใสอากาศเคลียร์หมดสิทธิ์
จุดชมวิวกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หลังจากแสงและหมอกหายไป เราเดินทางกลับไปยังบ้านพักเพื่อเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับ พี่มยุราเจ้าของบ้านเดินเข้ามาทักทาย พร้อมนำของที่ระลึกมาให้เราเป็นกระเป๋าใส่มือถือให้มาทั้งหมด 3 ใบ ตามจำนวนคนที่พัก ซึ่งพี่เค้าเย็บเองค่ะ เราบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมและมาทานอาหารอร่อยๆฝีมือพี่อีก ประทับใจมาก ที่พักสะอาด อาหารก็อร่อย พี่มยุรายิ้มขอบคุณ แล้วก็เดินมาส่งเราที่รถจนลับสายตา อารมณ์มาส่งลูกหลานแล้วมองตามอย่างอาวรณ์ ชุมชนบ้านจ่าโบ่ ถือว่าเป็นความประทับใจในหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ คือ ความบริสุทธิ์และน้ำใจอันดีงามของชาวบ้านที่เปิดบ้านต้อนรับแขกอย่างพวกเราได้อบอุ่นเสมือนเราเป็นญาติ พี่น้อง และลูกหลาน แค่ได้มาพักค้างคืน 1 คืน ก็คุ้มแสนคุ้มได้ความทรงจำที่ดีไปอีกนานเลยค่ะ
รายละเอียดเพิ่มเติม
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนบ้านจ่าโบ่ ติดต่อคุณศรชัย 080 677 5794
เฟสบุค https://www.facebook.com/cbtbaanjabo
Tags : การเดินทางไปบ้านจ่าโบ่, ทะเลหมอกบ้านจ่าโบ่, บ้านจ่าโบ่, ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา จ่าโบ่, เที่ยวปางมะผ้า, แม่ฮ่องสอน, โฮมสเตย์บ้านจ่าโบ่