อำเภอสะเมิง เชียงใหม่ มีอะไรน่าเที่ยว แน่นอนถ้าพูดถึงอำเภอนี้แว่บแรกจะนึกถึงเทศกาลสตอเบอรี่ผลไม้ของดีที่ขึ้นชื่อ ซึ่งจะเริ่มอออกผลตั้งแต่เดือนธันวาคม- มีนาคม โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงที่มีสตอเบอรี่มากที่สุด ซึ่งอำเภอสะเมิงมีการจัดงานเทศกาลสตอเบอรี่และของดีอำเภอสะเมิง ทุกๆ ปีในช่วงนี้ ทำให้เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม เป็นช่วงเดือนที่สะเมิงน่าเที่ยวมากที่สุด เพราะนอกจากผลไม้ของดีแล้ว สะเมิงยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่น่าแวะมาเที่ยวเป็นอย่างมากนั่นก็คือ ทุ่งข้าวสาลี ที่ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง ซึ่งจะเริ่มกลายเป็นสีทองพริ้วไหวรับลม ในช่วงเดือนนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าบรรยากาศเหมือนกับทุ่งข้าวบาร์เลย์ในต่างประเทศอย่างไรอย่างนั้น
สะเมิง เป็นอำเภอที่ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มากนักใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เป็นอีกหนึ่งอำเภอสงบที่โอบล้อมไปด้วยหุบเขาซึ่งยังคงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก การเดินทางไปสะเมิงใช้เส้นทางเดียวกับทางไปม่อนแจ่ม เพราะฉะนั้นหลังจากเที่ยวสะเมิงแล้วก็แวะท่องเที่ยวม่อนแจ่มต่อก็ได้ เส้นทางจากถนนสายแม่ริม ไปยังสะเมิง ค่อนข้างคดเคี้ยวและชันเป็นบางช่วงตามแบบฉบับของเมืองในหุบเขา ก่อนเข้าตัวเมืองเราจะพบกับศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ ที่นี่เป็นจุดหมายแรกที่เราจะแวะไปเที่ยวกัน แนะนำว่าถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ควรมาในข่วงเวลาประมาณบ่าย 4 โมง เย็น จะดีที่สุด เพราะแสงแดดเริ่มอ่อนลงและเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังเริ่มตกดิน ซึ่งจะตกมากระทบกับต้นข้าวสาลีพอดี การเข้าไปชมทุ่งข้าวบาร์เลย์ไม่มีค่าใช้จ่ายใด แต่สำหรับช่างภาพที่ต้องการมาถ่ายพรีแวดดิ้ง หรือถ่ายแบบอะไรก็แล้วแต่ต้องติดต่อไปทางศูนย์ล่วงหน้า แต่ถ้ามาเที่ยวถ่ายภาพปกติไม่ต้องติดต่อค่ะ ลงชื่อตรงทางเข้าพอเป็นพิธีและเข้าไปชมได้เลย เบอร์โทรศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง 0 5337 8093-5
ศูนย์ศึกษาวิจัยข้าวสะเมิง มีหน้าที่หลักคือพัฒนาพันธุ์ข้าว รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตข้าวสาลีที่ดีและเหมาะสม อีกทั้งให้บริการวิชาการด้านข้าวสาลี ที่นี่ไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่ะค่ะแต่เหล่าบรรดานักถ่ายภาพนิยม มาถ่ายภาพโดยเฉพาะภาพพรอตเทรตกับต้นข้าวสีทองพริ้วไหว เลยทำให้ที่นี่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของการท่องเที่ยวสะเมิงไปโดยปริยาย โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมทุ่งข้าวสาลี คือ ช่วง กลางเดือน ก.พ. – กลาง มี ค โดยข้าวจะเริ่มปลูก ประมาณเดือนม.ค. และจะเปลี่ยนเป็นสืเหลืองอาร่ามในช่วงปลายเดือนก.พ. มาเที่ยวก็ควรพกพาอุปกรณ์กันแดดมาด้วยค่ะเพราะแดดแรงมาก
พื้นที่ของทุ่งข้าวสาลีไม่ได้กว้างใหญ่สุดตาเหมือนกับนาปลูกข้าวทั่วไป เพราะที่นี่คือศูนย์วิจัยข้าว ปลูกเพียงไม่กี่แปลงเพื่อทำการวิจัย แต่ก็พอมีพื้นที่กว้างให้เราเดินเล่นถ่ายภาพในมุมไหนก็ได้แบบสบายตามคันดินเล็กที่ทางศูนย์ได้ทำไว้
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ถ้าจะให้ถ่ายมาแต่ต้นข้าวอย่างเดียวคงไม่ได้อารมณ์ภาพ ต้องมีคนเข้ามาประกอบด้วย จึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไม่ที่นี่จึงกลายเป็นจุดหมายของช่างถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง จนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องติดประกาศไว้ตรงทางเข้าว่าห้ามเข้ามาถ่ายพรีเวดดิ้งก่อนได้รับอนุญาติต้องมีการติดต่อมาล่วงหน้าก่อน
สัมผัสเบาๆแสนละมุน เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดแรงเริ่มหายไปกลายเป็นแสงอ่อนในยามเย็นมากระทบกับยอดข้าว
ทุ่งข้าวสาลีสีทองสลับเขียว ส่วนใหญ่เราจะเห็นภาพแบบนี้ค่ะ จะไม่ได้มีโอกาสเห็นเป็นสีทองทั้งหมด เพราะปลูกไม่พร้อมกัน และหากแปลงไหนสีทองสุกแล้ว ทางศูนย์ก็จะเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวออกไปกลายเป็นแปลงว่างเปล่า
ช่วงเวลาซักประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังแปลงข้าวพอดิบพอดี
แปลงข้าวสีทองจึงเป็นอะไรที่เหมาะกับการเก็บภาพมากกว่าสีอื่นในช่วงเวลาที่แสงกำลังส่องกระทบลงมา
เรียกว่าเป็นช่วงนาทีทองแห่งแสงสวยงาม เวลานี้ก็คงจะเหมาะที่จะ close up เจาะไปที่ยอดข้าวแล้วสิ
เมื่อถึงเวลาเย็นประมาณหกโมงกว่า เราจะได้เห็นภาพพระอาทิตย์ดวงโตกำลังคล้อยตกลงไปหลังยอดเขาพร้อมสาดแสงมากระทบกับต้นข้าวสีทองที่พริ้วไหว ได้บรรยากาศอบอุ่นละงดงาม
ได้เวลาเก็บสตอเบอรี่สดจากไร่
ที่สะเมิงมีไร่สตอเบอรี่ให้เราได้แวะไปเที่ยวชมวิว เก็บสตอเบอรี่สดๆหลายไร่แห่งด้วยกัน หากเราขับเราไปตามเส้นทางสายสะเมิงไปจนถึงตัวเมืองเราก็จะพบเจอหลายไร่แล้วแต่ว่าเราจะเลือกเข้าไปไร่ไหนบ้างเพราะมีป้ายของแต่ละไร่ติดไว้ตลอดทั่งสองข้างทาง บางไร่ก็จะอยู่ติดริมถนนโดดเด่นชวนให้แวะ จากศูนยวิจับข้าวสะเมิงเราก็จะสะดุดตากับไร่นี้เป็นไร่แรก คือ ไร่ ธ .อุดม
ไร่สตอเบอรี่ที่นี่จะแตกต่างจากไร่อื่นนั่นก็คือ ปลูกลดหลั่นกันไปตามภูเขาพื้นที่ค่อนข้างกว้างมาก
จากไร่อุดมก็จะเป็นคิวของ ไร่นภภูผา (ไร่นะ ภะ ภู ผา ) ไร่สตอเบอรี่ชื่อดังที่อยู่คู่กับสะเมิงมาเนิ่นน่าน รีวิว ไร่นภภูผา ฉบับเต็ม คลิ๊ก ไร่นภภูผา
เป็นไร่ที่เป็นทั้งไร่สตอเบอรี่ และเปิดให้บริการห้องพักและร้านกาแฟและร้านอาหาร เรียกว่าครบวงจรเลยทีเดียว
บรรยากาศภายในไร่ก็สุดแสนจะชิว ชิค มีมุมให้เราได้นั่งพักผ่อนหลายแห่ง
น้ำสตอเบอรีปั่นสด รสชาติเยี่ยมมาถึงไร่แล้วต้องสั่งไม่งั้นเรียกได้ว่ามาไม่ถึงสะเมิง จะบอกว่ากินไปหลายแก้วจนเบื่อไปเลยทีเดียว
อยากเก็บสตอเบอรี่เค้าก็มีอุปกรณ์ให้พร้อมทั้งร่ม หมวก ตะกร้าและกรรไกรตัด
เลือกเก็บได้ตามใจชอบไม่ต้องห่วงว่าจะหมด เพราะมีให้เก็บจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว เก็บเสร็จเรียบร้อยก็เอาไปชั่งโดยทางไร่คิดราคาโลละ 150 บาท พร้อมแพคใส่กล่องให้เรียบร้อย
แต่ถ้าเหนื่อยที่จะเก็บก็มีแบบแพคใส่กล่องขาย แต่รสชาติชอบแบบเก็บสดสุกจากต้นเพราะอร่อยหวานกว่ามาก รสชาติเหมือนแช่น้ำในเชื่อมเลยทีเดียว เค้าถึงบอกว่าอะไรที่กินสดๆอย่างผักหรือผลไม้ ย่อมอร่อยกว่าที่เก็บขึ้นมาก่อนแล้วมาบ่มให้สุก หรือทิ้งเอาไว้นาน
จากไร่นภภูผา เลี้ยวรถเข้าไปยังเส้นทางเข้าตัวเมืองสะเมิง ผ่านไร่อีกหนึ่งไร่ เห็นของตกแต่งด้านหน้าสะดุดตาแวะถ่ายภาพซักหน่อย ชื่อว่า บ้านสวนต้นกล้า
ไร่นี้จะเป็นไร่เล็กๆพื้นที่ไม่กว้างมาก แต่ตกแต่งมุมนั่งเล่นพักผ่อนได้แบบน่ารักดี เค้าเปิดเป็นร้านอาหารและร้านขายเครื่องดื่มขนาดเล็กด้วยค่ะ หากผ่านไปก็แวะไปอุดหนุนได้ เจ้าของไร่บอกว่าเพิ่งเปิดเป็นปีแรก
สตอเบอรี่สีแดงผลใหญ่จากบ้านสวนต้นกล้า เปิดให้เก็บสดจากไร่ได้เช่นกัน
เข้ามาถึงตัวเมืองสะเมิงจะมีป้ายบอกทางไป ไร่วงศ์วาน ไร่สตอเบอรี่ใหญ่ที่ขึ้นชื่ออีกแห่ง
เปิดให้บริการครบวงจรเหมือนกับไร่นภภูผา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของที่พัก ร้านอาหาร และเปิดให้เก็บสตอเบอรี่สดจากสวน
หากไม่ได้พักที่นี่ เค้าจะคิดค่าไปชมสวนสตอเบอรี่คนละ 20 บาทค่ะ ในส่วนของไร่ก็มีจุดถ่ายภาพน่ารักๆ อยู่หลายมุม
ผลงานการเก็บสตอเบอรี่ของแต่ละท่าน เยี่ยมจริงๆ
ของฝากจากไร่วงศ์วานกล่องนี้ 50บาท เท่านั้น ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก และสตอเบอรี่ก็หวานมากด้วยค่ะ เท่าที่ชิมมาแต่ละไร่ ไร่วงศ์วานจะหวานหอมที่สุด แต่ไร่นภภูผาก็หวานเช่นกัน แต่ความหอมจะน้อยกว่า ส่วนไร่อื่นจะออกเปรี้ยวเล็กน้อย
แอ่วสะเมิง แสนสุขใจ แปลงร่างเป็นชาวไร่เก็บสตอเบอรี่ เดินเล่นท่ามกลางทุ่งข้าวสาลีสีทอง บรรยากาศแบบนี้ยังมีให้เที่ยวได้จนถึงกลางเดือนกลางเดือนมี.ค ค่ะ จะมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับจากตัวเมืองเชียงใหม่หรือแม่ริมก็ย่อมได้ แต่แนะนำมาถึงทั้งที่ควรค้างสัมผัสอากาศบริสทุธิ์ ซัก 1 คืน ที่สะเมิงช่วงเช้าและกลางคืนอากาศยังหนาวมากค่ะ
การเดินทางไปสะเมิง
โดยรถส่วนตัวจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ สามารถเข้าถึงได้ 2 ทาง คือ ทางแม่ริม-สะเมิง ตามทางหลวงหมายเลข 1196 ระยะทาง 52 กิโลเมตร และทางอำเภอหางดง ตามทางหลวงหมายเลข 1269 ระยะทาง 44 กิโลเมตร ซึ่งทางจะคดเคี้ยวมากกว่า สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมีรถโดยสารสายเชียงใหม่-สะเมิง และเชียงใหม่-ปอแก้ว ให้บริการ สามารถขึ้นได้ที่สถานีขนส่งช้างเผือก