ดอยม่อนจอง ภูเขาสีทอง

ดอยม่อนจอง หรือ ม่อนจอง  ฉันคุ้นกับชื่อนี้มานานหลายปี เมื่อใครพูดถึงชื่อนี้ภาพภูเขาหญ้าสีทองเรียงรายสลับซับซ้อน โอบด้วยแสงแดดในยามเย็นผ่านเข้ามาในความรู้สึกเสมอ ฉันเก็บสถานที่นี้ไว้ในใจมานานแสนนาน หวังแต่เพียงซักวันหนึ่งคงได้มีโอกาสไปมองและสัมผัสบรรยากาศนั้นด้วยตัวเองซักครั้ง แม้รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการปีนป่ายขึ้นภูเขาอีกแล้ว แต่สิ่งนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคถ้าใจอยากไป ไกลแค่ไหนจะไปให้ถึง เมื่อโอกาสประจวบเหมาะขอเก็บภาพและพิชิตดอยสีทองในฝัน ดอยม่อนจอง

 

 

ดอยม่อนจอง อยู่ในอำเภอนันทบุรี  ในความดูแลของหน่วยมูเซอ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย จุดเริ่มต้นของการมาเที่ยวม่อนจองมีหลายแบบจะเดินทางมาด้วยตัวเองก็เริ่มตั้งแต่ติดต่อขออนุญาติกับทางหน่วย ฯ แจ้งความจำนง จำนวนคน จำนวนลูกหาบ  และรถโฟร์วิว จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มทุกอย่างให้พร้อม  สำหรับคณะของฉันเลือกใช้บริการของทัวร์เดินป่าซึ่งมีให้บริการหลายเจ้า ทางทัวร์จัดการทุกอย่างให้หมดตั้งแต่ติดต่อเจ้าหน้าที่ อาหารกิน เต้นท์ ถุงนอน ฯลฯ  สำหรับจุดเริ่มเดินทาง ต้องนั่งรถโฟร์วิวจากจุดจอดรถ ผ่านเส้นทางถนนดินแดง ทางขรุขระ ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าก็มาถึงจุดเริ่มเดินทางไปยังดอยม่อนจอง  จัดการสัมภาระและรับประทานข้าวกลางวันให้เรียบร้อย หากถามว่าจะขับรถขึ้นมาเองได้มั้ย ตอบได้เลยว่าไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะจุดเริ่มเดินเท้าอยู่เป็นป่าลึกไม่มีคนคอยดูแลรถให้ อีกอย่างเส้นทางไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าไม่ชำนาญทางก็อย่าเสี่ยงค่ะ เพราะข้างทางบางช่วงเป็นหุบลึก วิธีที่ดีที่สุด คือ จอดรถไว้ที่หน่วยมูเซอ แล้วใช้บริการรถโฟร์วิวของชาวบ้านจะปลอดภัยกว่า

 

 

11.00 น. เริ่มสตาร์ทพร้อมลุยจากจุดเดินเท้าไปยัง ดอยม่อนจอง ระยะทาง 4.5 ก.ม.  ใช้เวลาเดินประมาณ 3-4 ชั่วโมง สำหรับฉันเส้นทางแค่นี้ถือว่าเป็นการเดินป่าที่ไม่โหดมาก เพราะเคยผ่านการเดินที่หนักกว่านี้มาแล้วหลายครั้ง แต่อาจเหนื่อยตรงที่เส้นทางส่วนใหญ่ในช่วงแรกจะขึ้นเขาตลอดทางราบค่อนข้างน้อย

 

 

เนื่องจากตั้งอยู่ในอำเภออมก๋อยหรือนันทบุรีที่ห่างไกลสุดชายแดนเป็นอำเภอที่ได้ชื่อว่าหนาวที่สุดอีกอำเภอหนึ่งของเชียงใหม่ และตั้งอยู่ในที่สูง  ทำให้ตลอดการเดินทางขึ้นสู่ ดอยม่อนจอง เย็นสบายจนถึงขั้นหนาวแบบไม่น่าเชื่อ เดินท่ามกลางแดดเปรี้ยงแต่เหงื่อแทบไม่ออก เดินมาซักพักและเจอเจ้าหินสูงใหญ่ก้อนนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ เรียกว่า ภูหินช่อ นั่นหมายความว่าเราได้เดินมาถึงครึ่งทางแล้วเร็วดีแท้  มาถึงแล้วก็ต้องปีนขึ้นไปชมวิวข้างบนซักหน่อย หินก้อนนี้ไม่แนะนำสำหรับคนกลัวความสูงและใจไม่กล้าพอเพราะเสียวมาก  

 

 

เดินต่อไปเรื่อยๆ  พักชมวิวเก็บเกี่ยวความสวยงามระหว่างทาง  เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงชอบการเดินป่าทั้งที่เหนื่อยมาก กินนอนอยู่กลางป่าใช่ว่าจะสบาย บางครั้งเจอฝน อากาศหนาวแทบนอนกันไม่ได้  เราไปเที่ยวสบายรถขึ้นถึงจะดีกว่ามั้ย แต่เมื่อได้มีโอกาสมาเดินป่าบ่อยๆ รู้สึกว่าเหมือนได้ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเดินถึง ได้เห็นน้ำใจจากเพื่อนร่วมทาง บางคนหอบเหนื่อยเกือบไปไม่ไหวแต่ก็คอยพูดให้กำลังใจ “ ต้องเดินถึงซิ พักก่อน ค่อยๆเดิน ไม่ต้องรีบ ไปเรื่อย ๆ ”  เมื่อตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้วต้องไปให้ถึงจุดหมายด้วยกัน บรรยากาศสนุกของวงสนนทนากลางแคมป์ไฟอุ่น  คือ อีกหนึ่งเสน่ห์ของการเดินป่าที่หลายคนหลงใหล

 

 

มาถึงเนินสุดท้าย ที่พวกเราเรียกกันว่า เนิน 70 เนื่องจากความลาดชันของภูเขาชันมากเกือบ 70 องศา อีกนิดเดียวก็จะ 90 อยู่แล้ว เดินขึ้นไปหันไปมองวิวก็แอบเสียว เนินสุดท้ายทำเอาเหนื่อยเลยทีเดียว ขาขึ้นไม่เท่าไหร่แต่ขากลับไม่ต้องพูดถึง คิดในใจเราเดินขึ้นมาได้อย่างไรสูงแท้  หันกลับไปมองวิวข้างหลังยอดภูเขาสีเขียวอยู่ไกลๆ เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นตัวเล็กเหมือนจุดอะไรซักอย่างอยู่บนยอดเขา  ยอดนั้นคือทางที่เพิ่งเดินจากมาในไม่กี่ชั่วโมง

 

 

 

เมื่อเดินผ่านความลาดชันของเนิน 70 มาได้ จะพบเห็น ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สีทองและสนามกอลฟ์ช้าง อีก 1 จุดไฮไลท์ของดอยม่อนจอง ณ เวลา 14.00 น.  คือ เวลาที่พวกเราเดินมาถึงจุดนี้

 

 

ผ่านจุดนี้ไปไม่ไกลลงไปในหุบเขาเพื่อไปยังจุดกางเต้นท์เก็บสัมภาระและพักเหนื่อยกันซักหน่อยบริเวณลานกางเต้นท์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น ห้องน้ำเป็นแบบหาเองตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องพกมาด้วย คือ ทิชชูเปียก มีลำธารเล็กๆมีตาน้ำไหลมาตามท่อ สามาราถใช้ล้างหน้าล้างตา และนำมาประกอบอาหารได้

 

 

 4 โมงเย็น เดินขึ้นจากจุดกางเต้นท์เพื่อรอเก็บแสงยามเย็นของทุ่งหญ้าสีทอง เส้นทางเดินไปยังแต่ละจุดมีการทำเส้นทางไว้ชัดเจนเพื่อให้เดินง่ายขึ้น มองห็นนักท่องเที่ยวเดินเรียงกันมายาวตามทางดูเป็นระเบียบ เพราะแต่ละคนเดินไม่หลุดเส้นทางเลยทีเดียว ภูเขาสีทองสลับซับซ้อน ตลอดระยะเวลายังคงเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เดินข้ามจากยอดนู้นมาสู่ยอดนี้เพื่อไปยังจุดกางเต้นท์

 

 

พักชมวิวถ่ายรูปเล่น อยู่ที่ลานหญ้าสีทองของสนามกอลฟ์ช้างซักพัก รอให้แสงแดดอ่อนลงกว่านี้ เพื่อเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยหัวสิงห์ ซึ่งอยู่ไม่ไกล

 

 

เมื่อตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ก็ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินต่อไป เมื่อมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติมนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ที่ไม่อาจเทียบทานความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้  สิ่งที่มนุษย์อย่างเราทำได้ คือ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันแบบสันติวิธี “ เมื่อเราไม่ทำร้ายธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะไม่ทำร้ายเรา  ”

 

 

เดินมาเรื่อยๆ เริ่มเห็นยอดดอยหัวสิงห์ชัดขึ้น ดอยหัวสิงห์ คือ จุดที่สูงที่สุดของดอยม่อนจองที่สามารถชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้นและตก

 

 

 

ชอบวิวและบรรยากาศของ ดอยม่อนจอง มาก โดยเฉพาะเวลาที่หันมองไปทั้งข้างหน้าและข้างหลังจะเห็นมนุษย์ตัวจิ๋วอยู่ท่ามกลางภูเขาอันยิ่งใหญ่ มองไปบางทีแอบรู้สึกกลัวแต่ก็เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเปรียบต่างได้เป็นอย่างดี

 

 

เดินไปพักเก็บภาพวิวเล็กน้อย ระหว่างทางมาหยุด ณ จุดสุดท้าย ตั้งใจว่าจะไม่เดินไปถึงยอดดอยหัวสิงห์ เนื่องจากต้องการเห็นหัวสิงห์เป็นฉากหน้าในยามพระอาทิตย์ตก เพราะถ้าขึ้นข้างบนในคงเห็นแต่วิวโล่งแจ้ง นั่งชมวิวรอพระอาทิตย์ตก อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นตามสภาพแสงที่เริ่มอ่อนลง

 

 

 

ความสุขไหนในเวลานี้คงไม่เท่ากับการได้เก็บภาพและนั่งมองวิวภูเขาสีทอง สลับกับวิวทิวเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่เบื้องล่าง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางค่อยจางหายไปเมื่อได้มารับอากาศบริสุทธิ์และกลับสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ชมพระอาทิตย์ดวงโตลาลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ประทับใจของแสงสุดท้ายในวันนั้น

 

 

นาฬิกาของเช้าวันใหม่ปลุกเราให้เริ่มเดินกันอีกครั้ง เพื่อไปเก็บภาพแสงเช้า ณ จุดเดิม คือ ดอยหัวสิงห์ ขึ้นลง ไปมา อยู่ในเส้นทางเดิมตลอดสองวัน อากาศในยามเช้าหนาวเอาเรื่องเลยทีเดียว แต่พวกเราก็มักจะแซวเล่นกันว่า “ เราผ่านอะไรมาเยอะรู้สึกชินชาแล้ว ” เพื่อนในกลุ่มเดินไปต่อเพื่อไปพิชิตยอดดอยหัวสิงห์ แต่ฉันยังคงเลือกเก็บความสวยงามยามเช้าอยู่ตรงนี้ตรงที่เดิม เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องทุ่งหญ้าสีทองจากที่เคยดูแห้งแล้งมีชีวิตชีวาและดูสวยงามขึ้นมาทันที

 

 

ไม่ว่าจะ ช่วงเวลาไหน เช้า สาย บ่าย เย็น  ดอยม่อนจอง ก็ยังสวยเสมอ เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่รู้สึกว่าองค์ประกอบของธรรมชาติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์  ทุ่งหญ้าสีทอง ทิวเขาสลับซับซ้อนและมนุษย์ตัวเล็ก ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

 

 

ได้เวลาที่แพคกระเป่ากลับไปยังเส้นทางเดิม ระยะเวลา 2 วัน 1 คืน ที่ได้มาที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ความทรงจำและความรู้สึกประทับใจที่มีต่อที่นี่ จะถูกเก็บไว้ในความทรงจำของฉันตราบนานเท่านาน ดอยม่อนจอง

 

 

ข้อมูลม่องเที่ยวดอยม่อนจอง

ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิด ไม่อนุญาตให้ นักท่องเที่ยวขึ้นเพราะต้องระวังภัยเรื่องช้างป่าที่ออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าสำหรับเวลา ในเวลาในการเดินทางขึ้น ดอยม่อนจอง นักท่องเที่ยวควรใช้ประมาณ 2 วัน 1 คืน

การเดินทางขึ้นดอยม่อนจอง

ต้องติดต่อขออนุญาตกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ การเดินทางต้องไปยัง หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร เมื่อถึงหน่วยมูเซอติดต่อทำเรื่องให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจัดเตรียมสัมภาระ ขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อไปส่งยังจุดเริ่มเดินอีก 16 กิโลเมตร และขึ้นสู่ยอดดอยระยะทาง 4 กม ใช้เวลา เดินเท้าประมาณ 3-4 ชั่วโมง ผ่านเส้นทางชึ้นลงและราบสลับกันแต่ส่วนใหญ่จะเดินขึ้นมากกว่า ไม่แนะนำให้ ขับรถไปจอดยังจุดเดินเท้าเนื่องจากจุดเดินเท้า ตั้งอยู่ในป่าไม่มีคนดูแล เส้นทางบางช่วงแคบด้านข้างเป็นเหวลึก ควรอดไว้ที่หน่วยฯ และเช่ารถ 4WD ปลอดภัยกว่า

ในส่วนของคนนำทาง ลูกหาบ รถ 4WD สามารถแจ้งความจำนงกับเจ้าหน้าที่เพื่อจัดเตรียม ส่วนอาหารน้ำดื่ม เต้นท์ ถุงนอน ต้องเตรียมไปเองให้พร้อม เพราะบนยอดดอยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมีลำธารเล็กๆตรงจุดกางเด้นท์สำหรับล้างหน้า แปรงฟัน อากาศข้างบนหนาวมากควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อม

ค่าบริการ
คนนำทาง เที่ยวละ 500 บาท 
ค่าบริการลูกหาบคิดวันละ 400 บาท
ค่ารถโฟร์วิวไปยังจุดเดินเท้า 2500-3000 บาท
ในกรณีใช้บริการบริษัททัวร์ก็สะดวกสบายเพราะทัวร์จัดการให้หมด 

ติดต่อ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ โทร 085 708 7441
153 หมู่ 2 ต. ยางเปียง อำเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่  50310

*** ค่าบริการอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเดินทางโปรดสอบถามอีกครั้ง

 

การเดินทาง

โดยรถส่วนตัวจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยทางรถยนต์ตามเส้นทางสายเดิม ตามข้อ 1.1 ถึงอำเภอฮอด แต่แทนที่จะแยกเข้าอำเภอดอยเต่า ตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1103 จะเดินทางต่อตามเส้นทางเดิม (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) จากอำเภอฮอดไปอีก 39 กม. แยกเข้าตามทางหลวง จังหวัดหมายเลข 1099 ถึงบ้านปางโอ้งโม้ง ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย ตรงหลักกิโลเมตรที่ 32 แยกเข้าสู่เส้นทางไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร รวมจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ระยะทางประมาณ 171 กม.

โดยรถสาธารณะ

– ใช้บริการระทัวร์เส้นทาง กรุงเทพฯ-จอมทอง-ฮอด โดยบริการ สมบัติทัวร์ หรือในเส้นทางกรุงเทพฯ-แม่สะเรียง-แม่ฮองสอน เมื่อถึงอำเภอฮอดสามารถต่อรถสองแถวสีฟ้าหรือรถเมล์สีฟ้าไปอำเภออมก๋อย รถสองแถวคันสีฟ้าวิ่ง จากอำเภอฮอด-อำเภออมก๋อย มีรถออกตั้งแต่เวลา 08.30  เป็นต้นไป ทุกชั่วโมง ถึงเวลา 12.30 น ออกวันละประมาณ 4 คัน การเดินทางจากอำเภอฮอดมาอมก๋อย จะใช้เวลา 2  ชั่วโมงโดยประมาณ  
หรือจากเมืองเชียงใหม่มีรถเมล์โดยสารสีฟ้าที่วิ่งจากจังหวัดเชียงใหม่-อำเภออมก๋อย มีวันละ 2 รอบคือ
ออกจากเชียงใหม่ 08.30  ถึงอมก๋อย 12.30 น.
ออกจากเชียงใหม่ 14.00 ถึงอมก๋อย 18.00 น.
หลังจากนั้นเหมารถสองแถวในอ.อมก๋อยไปยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย

– มีรถตู้จากเชียงใหม่สาย อมก๋อย แม่ตื่น รถจอดที่ประตูเชียงใหม่ จะวิ่งถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ออก 5.30 หรือ 6.00 น. ค่าโดยสาร 170 บาท เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง

หาที่เที่ยวเชียงใหม่ คลิ๊ก  เที่ยวเชียงใหม่ 

หาที่พักเชียงใหม่ คลิ๊ก ที่พักเชียงใหม่ 

หาคาเฟ่เชียงใหม่ คลิ๊ก  คาเฟ่เชียงใหม่ 

 

ผู้เขียน

นักเดินทางที่ชอบถ่ายภาพ อยากส่งต่อเรื่องราวของการท่องเที่ยว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน