ตลอดหลายปีฉันเดินทางผ่านอำเภอเชียงดาวอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งก็จะเห็น ดอยหลวงเชียงดาว ตั้งตระหง่านมาแต่ไกล ได้แต่แหงนหน้ามองแล้วบอกกับตัวเองว่าสวยและยิ่งใหญ่จัง ถามว่าอยากขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศข้างบนหรือไม่ ตอบได้เลยว่าอยากไปมากเพราะฉันเคยเห็นภาพบรรยากาศสวยๆของดอยหลวงเชียงดาวและดอกไม้ท้องถิ่นหลากชนิดจากนักท่องเที่ยวหลายคน แต่ในตอนนั้นได้แต่มองความสวยงามอยู่ข้างล่างและคิดเสมอว่าคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปแน่ ด้วยความกลัวเพราะได้ยินเสียงร่ำลือว่าที่นี่ไม่ได้จะเดินกันง่าย ต้องบุกป่าฝ่าดง เดินไกลและชัน ต้องอดทนกับความหนาว ไม่มีแหล่งน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย จากคำพูดนี้ทำเอาฉันกลัวเพราะสไตล์ของฉันคือไม่ค่อยนิยมเดินป่าเท่าใดนัก แต่ครั้งนี้ขอวัดใจอยากรู้ว่าคำร่ำลือที่เค้าว่ากันมาจริงหรือไม่ ฉันจะตัดความกลัวออกไปเพื่อลองไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้งในชีวิต “ ดอยหลวงเชียงดาว ”
เที่ยว ดอยหลวงเชียงดาว มีให้เลือกหลายแบบ จะเที่ยวด้วยตัวเองเริ่มตั้งแต่ติดต่อขออนุญาติเข้าพื้นที่ไปที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว รถรับจ้าง ลูกหาบ เตรียมอาหารเองทั้งหมด หรือใช้บริการทัวร์ท้องถื่นในอำเภอเชียงดาว หรือจะเสียเงินแพงขึ้นมาอีกนิดใช้บริการทัวร์ที่เริ่มต้นจากกรุงเทพซึ่งทุกสิ่งอย่างทัวร์ดำเนินการให้หมดก็ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้เยอะ ฉันเลือกแบบหลังเพราะไม่อยากต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น เพราะคิดว่าแค่เดินอย่างเดียวคงเหนื่อยมากแล้ว อีกอย่างต้องการใช้เวลาถ่ายรูปให้เต็มที่แบบไม่เร่งรีบ สำหรับข้อมูลท่องเที่ยวดอยหลวงเชียงดาวอย่างละเอียกคลิ๊กที่ http://paiduaykan.com/province/north/chiangmai/doichiangdao.html ทริปนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน มาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวประมาณ 9 โมงกว่า ก่อนเริ่มสตาร์ท นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาชมวีดีโอให้ความรู้และกฎต่างๆ ของการเทียวดอยหลวงเชียงดาวก่อน เราจะได้เที่ยวอย่างถูกวิธี ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย เพราะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯ เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเปราะบางมาก
หลังจากชมวีดีโอจบแล้วก็ขึ้นรถกระบะเพื่อต่อไปยังจุดเดินเท้า ซึ่งจุดเดินเท้าไปยังดอยหลวงเชียงดาวที่เปิดให้ขึ้นมี 2 เส้นทาง คือ เส้นทางเด่นหญ้าขัดระยะทาง 8.5 ก.ม. เป็นเส้นทางราบซะส่วนใหญ่เดินไกลแต่เดินง่าย จุดเดินเท้าต้องนั่งรถไกลผ่านเส้นออฟโรดประมาณ ชั่วโมงครึ่ง และอีกเส้นทาง คือ เส้นทางปางวัวเดินใกล้ระยะทาง 6.5 กม. แต่ชันกว่า เส้นทางรถวิ่งราดยางสั้นกว่าทางเด่นหญ้าขัด เพราะฉะนั้นค่ารถกระบะที่ไปยังจุดเดินเท้าจากทางปางวัวจึงถูกกว่าเด่นหญ้าขัดเกือบครึ่งนึง ก็แล้วแต่ว่าใครจะเลือกขึ้นและลงเส้นทางไหน คณะเราเลือกขึ้นทางเด่นหญ้าขัดเนื่องจากเส้นทางนี้ชันน้อยกว่าและทราบมาว่าวิวสวยสามารถเห็นดอยหลวงเชียงดาวได้ตลอดทาง ส่วนเส้นปางวัวไม่ค่อยเห็นวิวนักจึงเลือกใช้เป็นเส้นทางลงน่าจะเหมาะและเสียแรงน้อย เส้นทางเด่นหญ้าขัดทางเข้าเริ่มจากบ้านแม่นะเส้นทางเดียวกับทางขึ้นดอยแม่ตะมาน นั่งรถไปตามถนนเห็นทิวเขาของดอยหลวงเชียงดาวอยู่ไกลๆ อีกไม่นานพวกเราคงได้ไปอยู่บนนั้นแล้ว
นั่งรถโยกไปมาได้ซักพักใหญ่ก็มาถึงจุดเริ่มเดินเท้าเด่นหญ้าขัด รับประทานข้าวกลางวัน จัดเตรียมสัมภาระให้ลูกหาบ สำหรับการแต่งกายแนะนำควรใส่เสื้อแขนยาวหรือไม่ก็หาปอกแขนใส่ เพราะตลอดเส้นทางเดินผ่านดงหญ้ารกตลอด ใส่ถุงมือด้วยจะช่วยเซฟยิ่งขึ้น เพราะบางทีต้องใช้มือปัดและจับหญ้า หรือกิ่งไม้ ส่วนรองเท้าควรหาที่ดอกยางเยอะ หากใครรู้ตัวว่าเดินไม่ค่อยระวังชอบไปสะดุดหรือเตะนู้นนี้ ควรใส่รองเท้าผ้าใบป้องกันไว้ ใช้แบบทนและดีหน่อยเพราะตลอดทางเดินบางช่วงมีหินแหลมคม
เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว 11.30 น. เริ่มเดิน พวกเราทั้ง 9 ชีวิตพร้อมลุย
เส้นทางเด่นหญ้าขัดส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ ทางเดินเรียบ ขึ้นลงเล็กน้อย สองข้างทางจะเต็มไปด้วยหญ้าสมชื่อ มีดอกไม้ต่างๆ ให้เราชื่นชมได้เป็นระยะ
เริ่มที่ดอกแรก ชื่อว่า เอนอ้า เคยเห็นพืชชนิดนี้ที่ภูสอยดาวไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ด้วย
ส่วนเจ้าดอกไม้สองชนิดนี้ไม่แน่ใจว่าชื่อดอกอะไรดูแปลกตาดีค่ะ
ดอกนี้คือดอกหญ้าจะเห็นได้บ่อยเวลาเราไปเที่ยวบนดอยสูง
ดอกนี้คุ้นว่าเห็นบ่อย หาข้อมูลได้ความว่าชื่อ เอสเตอร์เชียงดาว
เดินชมดอกไม้ซึ่งมีให้เราได้เห็นเยอะ ทำให้ลืมความเหนื่อยไปได้มากแต่เอาจริงๆไม่คิดว่าเส้นทางเดินสู่ดอยหลวงเชียงดาวโดยใช้เส้นเด่นหญ้าขัดจะเดินง่ายขนาดนี้ จะมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ ต้องบุกผ่านหญ้าสูงตลอดสองข้างทางจึงเป็นเหตุผลที่บอกว่าควรใส่เสื้อแขนยาวหรือปอกแขนจะดีมาก ความกลัวที่มีอยู่ในตอกแรกว่าจะเดินไหวมั้ยค่อยหายไปทีละนิด เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเพลิดเพลินกับการชมดอกไม้มาแทนที่ บางคนอาจเร่งฝีเท้าให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้นแต่สำหรับฉันไม่คิดแบบนั้น ทุกครั้งที่ออกเดินทางไม่ว่าจะไปที่ไหน จะเก็บเกี่ยวความสวยงามของสถานที่นั้นมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงช้าหน่อยไม่เป็นไรยังไงก็ถึงเหมือนกัน อยากหยุดถ่ายภาพ ชมวิวตรงไหนก็หยุดและใช้เวลากับมันให้เต็มที่เพราะเราคงไม่ได้มากันบ่อย มาเจอเจ้าสองดอกนี้ ตอนแรกนึกว่าเป็นกล้วยไม้ป่า แต่ถามคนจัดทริปบอกว่าเป็นดอกไม้ของพืชตระกูลถั่วสังเกตง่ายๆ จากใบและกลีบดอก
เดินมาได้ซักพักใหญ่มาเจอสมาชิกนั่งและนอนรออย่างสบายใจ ตลอดเวลาเพื่อนร่วมทริปจะเดินรอกันตลอดพร้อมส่งเสียง วู้ว วู้ว ตอบกันไปมา เป็นวิธีการที่รู้กันว่าเรายังเดินอยู่ไม่ทิ้งห่างไปไหน ฉันว่ามันเป็นอะไรที่ดูน่ารักดี
บ่าย 2 โมง พวกเราทั้งหมดก็มาหยุดอยู่พร้อมกันที่นี่ ดงดอกเทียนนกแก้ว ซึ่งจะมีให้เห็นเฉพาะช่วงเดือน พ.ย. หลังจากนั้นก็เริ่มโรยแล้ว ดอกเทียนนกแก้วถือเป็นดอกไม้เฉพาะถิ่นหนึ่งเดียวในประเทศไทยสามารถพบเห็นได้ที่ดอยหลวงเชียงดาวเท่านั้น จะมีให้เห็นเยอะในเส้นทางเด่นหญ้าขัด ส่วนเส้นทางปางวัวแทบไม่มีให้เห็น ถือว่าเป็นดอกไม้ไฮไลต์ของที่นี่
ดอกเทียนนกแก้ว ขึ้นอยู่ตามโขดหินถ้ามองผ่านๆจะไม่รู้ว่าคือ ดอกเทียนนกแก้ว ต้องสังเกตให้ดีโดยเฉพาะดงใหญ่แอบอยู่ในโขดหินที่ค่อนข้างเตี้ยมาก ถ้าตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียวอาจเห็นได้ยาก
สำหรับฉันมันเป็นดอกไม้ที่มหัศจรรย์ สุดยอดธรรมชาติสร้างสรรค์มากเลยทีเดียว อะไรจะเหมือนนกแก้วปานนั้น
หันมาจุ๊บหน่อย
ส่วนนี่มาเป็นคู่
ชื่นชมกับเจ้าดอกเทียนนกแก้วอยู่นานมาก หลังจากนั้นเดินต่อไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสามแยกนัดพบ ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางที่มาบรรจบกันระหว่างปางวัวและเด่นหญ้าขัด เพื่อเดินไปต่อยังอ่างสลุงซึ่งเป็นจุดกางเต้นท์
จากสามแยกนัดพบ เดินไปต่อเส้นทางก็จะเป็นแบบนี้ มีหญ้าสูงตลอดข้างทางเหมือนเดิม ส่วนเส้นทางก็เรียบ มีขึ้นลงบ้างช่วงแต่ไม่ชันมาก ถ้ามาช่วงพ.ย. อาจมีฝน ทางแฉะลื่นเล็กน้อย
เดินมาเจอเข้าดอกนี้สีสวยดีชื่อว่า ดอกอภิชาติ เป็นพืชในตระกูลถั่ว
ยังคงเดินและเดินต่อไป ดอยหลวงเชียงดาวเดินง่ายกว่าภูสอยดาวที่เคยไปมาครั้งก่อนเพราะเส้นทางการเดินไม่ชันเท่า ใครว่าที่นี่เดินโหดคนไม่ค่อยเดินป่าอย่างฉันขอเถียงว่าไม่จริง จากที่เห็นทิวเขาของดอยหลวงอยู่ไกลๆ ตอนนี้พวกเราเริ่มใกล้เข้ามาทุกที
หันไปมองด้านหลังพวกเราเดินผ่านภูเขามาหลายลูกขนาดนี้เลยเหรอ แดดยามบ่ายแก่เริ่มส่องมากระทบเป็นภาพที่สวยงาม นั่งชมวิวอยู่ตรงจุดนี้ซักพัก
หันมองไปข้างหน้าฟ้าใสเคลียร์มองเห็นพระจันทร์ด้วย
“อีก 1 กิโล เดินอ้อมเขาถึงแคมป์แล้วนะ” ได้ยินเสียงนี้ของผู้จัดทริปบอกมา เสียงนี้ทำให้พวกเรามีพลังในการเดินต่อเพื่อให้ถึงจุดหมายให้ทันก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ก่อนหน้านี้คนนำทริปบอกว่ากลุ่มที่เดินเก่งๆมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วถึง 6 โมงเย็น พวกเราเดินไม่เก่งเท่าไหร่แถมถ่ายรูปไปด้วยยังแซวกันสนุกว่างั้นขอถึง 3 ทุ่มไม่รีบ แต่แล้ว 5 โมง ครึ่ง พวกเราก็เดินมาถึงอ่างสลุงซึ่งเป็นจุดตั้งแคมป์โดยพร้อมเพรียงกันเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ทีมลูกหาบและคนคนจัดทริปกางเต้นท์รอไว้เรียบร้อย บรรยากาศของแคมป์อยู่กันแบบง่ายๆ จุดกางเต้นท์ของอ่างสลุงกว้างขวางเป็นส่วนตัว จะเลือกตรงจุดไหนแล้วแต่สะดวก ข้างบนไม่มีห้องน้ำหาเอาตามธรรมชาติที่ไม่ใช่อยู่ระหว่างทางเดินเพราะเราต้องเกรงใจคนอื่นด้วย
พักเหนื่อย 1 คืน หลับไปพร้อมกับสายฝนโปรยปรายแล้วก็หยุดเงียบไป ฉันคิดในใจพรุ่งนี้ต้องเจอทะเลหมอกเยอะแน่ เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่ตี 5 ดาวเต็มฟ้าดีใจสุด สุด เพราะมันเป็นสัญญาณบอกว่าต้องได้เจอพระอาทิตย์แน่แต่ทะเลหมอกต้องคอยลุ้น เดินไปยัง ยอดดอยกิ่วลม ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์และทะเลหมอกของ ดอยหลวงเชียงดาว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางช่วงสุดท้ายชันมากเพราะต้องไต่ระดับเขาสูงในความมืดขึ้นไปเรื่อยๆทำเอาฉันเหนื่อยบ่นไม่หยุด แต่เมื่อมาเห็นภาพนี้ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ตื่นแต่เช้าปีนป่ายขึ้นมา พระอาทิตย์เริ่มมาทักทาย สีท้องฟ้าในเวลานี้สวยมาก ภาพถ่ายที่เก็บมายังไม่สวยเหมือนภาพจริงที่ได้เห็นด้วยสายตา
นักท่องเที่ยวคนหนึ่งบอกว่า พวกเราโชคดีมากมาที่นี่ครั้งแรกก็เจอทะเลหมอก เขามาตั้งหลายครั้งไม่เคยเจอทะเลหมอกเยอะขนาดนี้ ได้ยินแล้วก็รู้สึกแอบดีใจ มาที่นี่ต้องพกดวงมาด้วยอย่างที่เค้าว่ากัน
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะทุกวินาทีที่ได้เฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นกับเพื่อนในทริป รวมทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นมันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกอบอุ่น เมื่อเรามาอยู่ในที่เดียวกันด้วยหัวใจเดียวกัน จากไม่รู้จักก็กลายเป็นคนรู้จักในทันที ยิ้มให้กัน คุยกันหยอกล้อกัน ยอดดอยกิ่วลมในตอนนี้อบอวลไปด้วยมิตรภาพและเสียงหัวเราะ
เมื่อหันหลังมองกลับไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นยอดดอยปีระมิดและดอยสามพี่น้องอยู่ไม่ไกลในตอนนี้เราอยู่สูงกว่าสองยอดนี้แล้วนะ
ซูมเข้ามาใกล้ ดอย 3 พี่น้อง มีเขาสามลูกอยู่ด้วยกันจึงเป็นที่มาของชื่อ ตอนนี้ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป
อีกยอดหนึ่ง คือ ดอยปีระมิด เป็นยอดดอยส่วนหนึ่งของดอยหลวงเชียงดาวก็ไม่อนุญาติให้ขึ้นไปเช่นกัน เพราะเส้นทางค่อนข้างชันและอันตรายมาก
ทางฝั่งนี้ทะเลหมอกเยอะไม่แพ้ฝั่งนู้นเลยทีเดียว
จากยอดดอยกิ่วลมมองเห็นจุดกางเต้นท์เล็กนิดเดียว
ดอยหลวงเชียงดาว เป็นภูเขาหินปูน มีอายุ ระหว่าง 230-250 ล้าน ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนทะเลและซากสัตว์ที่มีหินปูน สันนิษฐานว่าพื้นที่ในบริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นท้องทะเลมาก่อน ที่นี่มีความพิเศษคือ มีพรรณไม้แบบที่เรียกกว่า “กึ่งอัลไพน์” เนื่องจากหน้าดินมีน้อย ไม่มีน้ำและอากาศเย็น เป็นพืชแบบแถบหิมาลัย แต่พัฒนาตนเองเป็นพืชเฉพาะถิ่นเป็นพรรณไม้พุ่มและไม้ดอกขนาดเล็กหลากชนิด จึงมีดอกไม้สวย ๆ มากมายที่เราพบได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่ตามโขดหิน และที่ยอดดอยกิ่วลมจะสามารถเห็นได้มากที่สุดโดยเฉพาะดอยกิ่วลมฝั่งใต้ แต่ฉันไม่ได้ไปฝั่งนั้นอยู่ฝั่งทางเหนือซึ่งก็มีเยอะเช่นกัน เริ่มจากเจ้าดอกนี้ ฟองหินเหลือง ดาราของที่นี่พบเห็นได้เยอะและง่ายที่สุด
หลายคนอาจมาดอยหลวงเชียงดาวเพียงเพื่อจะพิชิตยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย มาชมทะเลหมอก ภูเขาสูงเสียดฟ้า ดูพระอาทิตย์ขึ้นและตก แต่สำหรับฉันแล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องรอง ความตั้งใจอันดับแรกคือ ชอบถ่ายภาพดอกไม้ อยากมาชมพรรณไม้ที่หาได้ยากพบได้เพียงแห่งเดียวในโลก
ฟ้าคราม เป็นพุ่มไม้ดอกสีฟ้าอ่อนสวยงาม
หญ้าดอกลาย เป็นพืชวงศ์หรีด
อ้อมดอย มีสีม่วงอ่อน ตัดกับสีแดงเลือดหมูของลำต้นและกลีบดอก
ดอกกุหลาบขาวเชียงดาว
เห็นดอกสีแดงโดดเด่นมาแต่ไกล นามว่า แสงแดง เป็นพืชวงศ์กะเพราที่มีดอกเป็นหลอดสีแดงอมส้ม เดินชมพันธุ์ไม้เหมือนได้ศึกษาเรื่องพฤกษศาสตร์ไปในตัวด้วย ปกติเวลาถ่ายภาพดอกไม้ไม่ค่อนสนใจจำชื่อ แต่ความแปลกของดอกไม้ที่นี่ทำให้ฉันอยากรู้ว่าดอกไม้ที่เราถ่ายภาพมาชื่อว่าอะไรบ้าง
ชมพูเชียงดาว นางเอกของที่นี่ ดอกสีชมพูเข้มของมันเมื่อดูใกล้ๆ จะเห็นว่ามีรูปร่างคล้ายจงอยปากของนก สวยงามไปอีกแบบ
มอสดอยหลวงเชียงดาว
ดอกเทียน หลายที่ก็คงมีแต่ดอกเทียนที่เชียงดาวจะมีจงอยเด้งไปข้างหลัง
ดอกนี้ไม่รู้ชื่อ รู้แต่ว่าเป็นดอกไม้ในพืชตระกูลถั่ว
ระหว่างทางเดินกลับก็มาเจอกับ ชมพูพิมพ์ใจ แต่ดอกของเราไม่ค่อยเป็นสีชมพูเท่าไหร่ เมื่อมาถึงดอยหลวงเห็นผึ้งบินไปมาเยอะมากยังแปลกใจ แต่พอเห็นดอกไม้ทั้งหมดถึงบางอ้อ ผึ้งมันคงมีความสุขมากที่ได้ดอมดมและดูดน้ำหวานจากเจ้าดอกไม้สวยๆ เหล่านี้ ถึงแม้ฉันจะเก็บความหวานได้แค่สายตาและเสียงชัตเตอร์แต่ก็มีความสุขไม้แพ้เจ้าผึ้งน้อยแน่
เก้าโมงกว่าเดินลงมาถึงแคมป์ทานอาหารเช้า นั่งคุย นั้งเล่น นอนหลับเอาแรงไปซักพักใหญ่ บ่ายสามโมงได้เวลาไปชมพระอาทิตย์ตกและพิชิตจุดที่สูงที่สุดของดอยหลวงเชียงดาว มองเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ไกล
เดินผ่านแคมป์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น โลเคชั่นดีไม่น้อย อยู่หน้ายอดดอย
เดินและเดินผ่านพงหญ้ากันต่อไป เส้นทางเดินขึ้นไม่ไกลมากใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
มาถึงเกือบถึงจุดสูงสุดมองวิวลงไปด้านข้างและด้านหลังไม่มีต้นไม้บังแม้แต่น้อยเห็นทิวเขาและวิวข้างล่างเต็มๆ ในความสูงที่ 2000 กว่าเมตร ทำเอาฉันเข่าอ่อน ไม่ใช่เหนื่อยหรืออะไรทั้งสิ้นเพราะมันเลยจุดนั้นมาแล้ว แต่เนื่องจากกลัวความสูงไปต่อเกือบไม่ได้ ยังดีที่เพื่อนร่วมทริปพยายามช่วยกันดัน บังวิว ถือของให้ และช่วยกันพูดจนสามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้
จุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว มองเห็นยอดดอยปีระมิด และดอยสามพี่น้องชัดเจนยิ่งชึ้น
ฉันรู้สึกว่าตอนนี้เรายืนอยู่ใกล้กับก้อนเมฆนิดเดียวเอง
หันหลังมองไปอีกฝั่งจะเห็นอำเภอเชียงดาวอยู่ข้างล่าง ดอยที่ตรงข้ามกัน คือ ดอยแม่ตะมาน ไม่น่าเชื่อเมื่อ 3 ปีก่อน ฉันอยู่บนดอยนี้ซึ่งเป็นดอยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับดอยหลวงเชียงดาวแต่รถเข้าถึงไม่ต้องเดิน ฉันได้แต่นั่งมองความยิ่งใหญ่ของยอดดอยหลวงจากฝั่งดอยแม่ตะมานและคิดว่าเราคงได้แต่มอง แต่วันนี้ฉันจะมายืนอยู่บนยอดดอยหลวงและมองกลับไปยังฝั่งดอยแม่ตะมานบ้าง รู้สึกภูมิใจว่าในที่สุดเราก็ได้มายืนตรงจุดนี้แล้ว
ดอยหลวงเชียงดาว ดอยที่ฉันและใครหลายคนต่างใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสและในขณะเดียวกันก็แอบกลัวว่าจะเดินไหวมั้ย สำหรับฉันอยากบอกทุกคนว่า ตัดความกลัวออกไป ก้าวขาเดินออกมาเพราะมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด สุดท้ายการเดินทางนี้จะไม่สนุก และไม่มีสีสันถ้าขาดสมาชิกที่ร่วมด้วยช่วยกันทำความฝันของแต่ละคนให้เป็นจริง ขอบคุณทุกคนอีกครั้งกับมิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้นใน ทริปสุดขอบฟ้าครั้งนี้